“โออิชิ” ผนึกกำลัง “เสริมสุข” ขายชาเขียวในขวดแก้วแบบคืนขวด จำหน่ายในร้านอาหาร และร้านค้าโชว์ห่วย ตั้งเป้ายอดขาย 1 พันล้านบาท ด้วยการทุ่มงบประมาณ 200 ล้านบาท เหมาเอาพระเอกยอดฮิต ณเดชน์-หมาก-เคน 3 คนรวดมาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งเกมส์นี้ของไทยเบฟฯ นับว่าเป็นการสู่ศึกชาเขียว ที่งัดเอาความได้เปรียบของเครือข่ายบริษัทในเครือมาเพื่อเสริมพลังช่องทางการขายใหม่ๆ ที่ตอนนี้ถูกคู่แข่งรายสำคัญ “อิชิตัน” เข้ามาแย่งแชร์ในคอนวีเนี่ยน สโตร์
“ขวดแก้ว” โมเดล ใครก็เลียนแบบยาก
ถ้าหากจะกล่าวถึงขุมพลังหน่วยรถที่เจาะเข้าถึงโชว์ห่วยกับร้านอาหารทั่วประเทศได้ดีที่สุดของไทย ต้องยกให้กับ “เสริมสุข” เพราะอยู่ในธุรกิจนี้มานานถึง 59 ปี เรียกได้ว่าตรอกไหน ซอยไหน มีร้านอาหาร ร้านก๋วยเตี๋ยวกี่ร้าน คนขับรถเสริมสุขรู้จักหมด บวกกับเร็วๆ นี้เสริมสุข ก็กำลังจะทำแบรนด์น้ำอัดลมใหม่ขึ้นมาอยู่แล้ว การที่มีโออิชิขวดแก้วติดรถไปด้วย ก็ทำให้ร้านค้ามีทางเลือกให้ผู้บริโภคมากขึ้น แต่ทั้งหมดอยู่ในมือของไทยเบฟฯ
ในขณะที่ช่องทางการผลิตขวดแก้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในประเทศไทยมีโรงงานผลิตขวดแก้วสำหรับที่เอาบรรจุน้ำดื่มระดับแมสไม่กี่รายในประเทศ ที่รู้จักกันชัดๆ ก็คือ ไทย กล๊าส ของเครือไทยเบฟฯ กับบางกอก กล๊าส ของสิงห์ แค่ 2 เจ้า
สรุปแล้วทั้งหน่วยรถ กับโรงงานผลิตขวด ที่ไทยเบฟฯ มี ทำให้มีเพียง “โออิชิ” เท่านั้นที่ขายชาเขียวในขวดแก้วได้แบบคุ้มต้นทุน
ขายขวดแก้วแล้วได้อะไร
หลังจากที่ “อิชิตัน” เปิดตัวด้วยราคา 16 บาท แถมยังมีโปรโมชั่นอยู่เรื่อยๆ ผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งที่สนใจเรื่องราคาก็เลยเทไปอยู่ที่อิชิตัน ด้วยปริมาณที่กินทีเดียวอิ่ม ด้วยเหตุนี้เองโออิชิเจ้าตลาด อยู่ๆ จะกดราคามาให้ต่ำกว่าก็คงทำไม่ได้ จึงต้องเน้นไปที่แพ็กเก็จจิ้งแบบอื่นๆ เช่น เร็วๆ นี้ก็เจาะกลุ่มวัยรุ่น กับเด็กด้วยโออิชิแบบกล่องในลายวันพีซ จนกระทั่งมาถึงขวดแก้วที่ดัมพ์ราลงมาได้ที่ 12 บาท เพราะคืนขวดได้ กลายเป็นสงครามราคาทางอ้อมที่กลายเป็นว่าตอนี้ โออิชิ กลายเป็นชาพร้อมดื่มที่มีระดับราคาหลากหลาย ประกอบด้วย10 บาทแบบกล่อง 12 บาทขวดแก้ว 20 บาทแบบขวด PT แล้วก็แบบกล่องใหญ่ที่ขายในโมเดิร์น เทรด เน้นกลุ่มลูกค้าครอบครัว
ตลาดน้ำอัดลมติดลบ ขายชาดีกว่า
จากตัวเลขของนีลเส็น ประเทศไทยฯ ที่ระบุว่า ตลาดเครื่องดื่มมูลค่า 1 แสนล้านบาทในปี 2553-2554 ปรากฏว่าตลาดน้ำอัดลมมีมูลค่าอยู่ที่ 36,000 ล้านบาท ติดลบ 4% ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่าเพราะเรื่องน้ำท่วมใหญ่ในปีที่แล้ว แต่เทรนด์ระยะยาวอีกอย่างที่ลืมไม่ได้ก็คือเทรนด์สุขภาพ ที่ทำให้คนกินน้ำอัดลมน้อยลง แล้วหันไปมองเครื่องดื่มทางเลือกมากขึ้น ขณะที่ชาขียวมีโอกาสเติบโตสูงกว่า และโออิชิเองก็เป็นเจ้าตลาดอยู่ นี่เองจึงทำให้เสริมสุข หันมาขายชาเขียวแบบขวดแก้ว ขณะที่น้ำอัดลมแบรนด์ใหม่ที่เสริมสุขกำลังจะทำ ต้องสู้กับคู่แข่งหลักอย่างเป๊ปซี่ โค้ก และน้องใหม่ที่แรงเหลือเกินอย่างบิ๊ก โคล่า ดังนั้น จะขายแต่น้ำอัดลมที่สมรภูมิเดือดขนาดนั้นก็คงไม่ปลอดภัย สู้มาขายชาเขียวแบบขวดแก้วที่ยังไม่มีใครทำพ่วงไปด้วยดีกว่า โดยโปรดักท์ที่นำมาขายเป็นน้ำชาเขียว รสน้ำผึ้งผสมมะนาว เพื่อให้เข้ากับมื้ออาหารของคนไทย
“น้ำพระเอก” งานนี้พุ่งแรงสุดตัว
“สำหรับแคมเปญการสื่อสาร โออิชิทุ่มงบการตลาดกว่า 200 ล้านบาท วางจุดยืน “โออิชิ กรีนที ขวดแก้ว” ให้เป็น “น้ำพระเอก” และจะใช้เป็นคอนเซปต์หลักในการสื่อสารทุกช่องทางเพื่อสร้างปรากฏการณ์ “น้ำพระเอก” ให้ผู้บริโภคจดจำและทดลองดื่ม ด้วยการดึง 3 พระเอกฮอตระดับประเทศ “ณเดชน์-หมาก-เคน” รับบทพรีเซนเตอร์สื่อสารกับผู้บริโภคในภาพยนตร์โฆษณาชุด “เจ๊“ และ “ลูกค้า“ ด้วยสโลแกนติดปาก “โออิชิ กรีนที ขวดแก้ว กินกับอะไร ก็เข้ากั๊น…เข้ากัน” นายอนิรุทธิ์ มหธร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
การกวาดเอาพระเอกแถวหน้ามาถึง 3 คน พร้อมกับงบประมาณการตลาด 200 ล้านบาท สื่อทุกสื่อแบบปูพรม เห็นได้ชัดว่างานนี้โออิชิเอาจริง และหวังจะทำให้โออิชิขวดแก้วแจ้งเกิดให้ได้ ภายในปี 2556 คาดว่าจะสร้างยอดขาย 1 พันล้านบาทเฉพาะช่องทางนี้