หลังจาก Uniqlo แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดไทยได้หนึ่งปีเต็ม ถึงเวลาของ H&M (เอชแอนด์เอ็ม) Fast Fashion อันดับหนึ่งของโลกจากสวีเดนเข้ามาบุกตลาดไทยอย่างเป็นทางการเสียที ณ ใจกลางกรุงเทพฯ สยามพารากอน ขณะที่แบรนด์ ZARA ที่อยู่ข้างกันต้องปิดสโตร์เพื่อปรับลุคของตัวเองใหม่เพื่อทานกับกระแสของ H&M H&M ประเทศไทยเป็นถูกนำเข้ามาโดย มร.เจ เอส กิลล์ (J.S Gill) ซีอีโอ บริษัท Hthai จำกัด ผู้คร่ำหวอดและมีประสบการณ์ในด้าน International Retailer มาอย่างยาวนาน หรือ อดีตผู้นำเข้าแบรนด์แฟชั่นสุดหรูอย่าง ZARA มาก่อน
H&M เปิดตัวครั้งแรกในงาน VIP Night วันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา(ก่อนวันจริง 29 ก.ย.) ซึ่ง H&M ให้ความสำคัญต่อค่ำคืนนี้อย่างมาก แหล่งข่าวรายงานว่า งานเปิดตัวครั้งนี้ทีมจากสำนักงานใหญ่สวีเดนมาคุมงานเปิดตัวเองโดยเฉพาะ ทีมสิงคโปร์ดูแลด้านความปลอดภัย (สังเกตุได้จากมีการ์ดเต็มงานอย่างรัดกลุม) และทีมเกาหลีดูแลด้านการจัดรูปแบบสโตร์
H&M ประเทศไทยถือเป็นประเทศลำดับที่ 47 โดยปัจจุบันมีอยู่ทั้ง 2,600 ร้านทั่วโลก โดยเริ่มสาขาแรกที่ สยามพารากอน มีสองชั้นเนื้อที่กว่า 3,200 ตารางเมตร และสาขาที่ 2 คือ เดอะมอลล์บางกะปี ซึ่งเตรียมเปิดภายในสิ้นปี 2012 โดยสาขาพารากอนจะจับกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ และ สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ จะเป็นกลุ่มของคนไทย 100%
“ในเรื่องแพลนการขยายสาขา H&M ทั่วโลกตั้งเป้าหมายขยาย 10-15% ต่อปี อย่างเช่น อาทิตย์ที่แล้วเปิดสาขาที่ประเทศมาเลเซีย และเม็กซิโกเร็วนี้ ส่วนในประเทศไทยเราเองก็มีแพลนในปี 2013 ที่สาขาเซ็นทรัลเวิล์ด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นด้วย” อรอุมา ชวลิตธำรงค์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ กล่าว
เสื้อผ้าของ H&M ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ คือ ผู้หญิง(Women) ผู้ชาย(Men) เด็ก(Kid) และ วัยรุ่นเฉพาะ (Divided Youth) ด้วยการออกแบบจากดีไซน์เนอร์ in-house กว่า 150 ชีวิต จึงทำให้มีสินค้าใหม่เข้าร้านเกือบทุกวัน Collection จะเหมือนกันทั่วโลก 80% และ 20% ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละประเทศ โดยที่จะเปลี่ยนคอลเล็คชั่นทุกๆ 2 อาทิตย์ เนื่องจากไม่ต้องการทำสินค้าออกมาเหลือเยอะเกินความจำเป็นซึ่งเป็นการสร้าง Sustainability ต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งดีไซเนอร์จะ Forecast เทรนด์ล่วงหน้าไว้ 6-8 เดือนโดยประมาณ
H&M ยึด Motto 3 คำ คือ Fashion ที่มีดีไซน์ทันสมัยเป็นเอกลักษณ์ , Quality คุณภาพการตัดเย็บ และ Best Price ราคาที่เหมาะสม ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก และเร็วนี้จะมีคอลเล็คชั่นพิเศษกับ แอนนา เดลลา รุซโซ บรรณาธิการแฟชั่นของนิตยสาร Vogue ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยสร้าง Value ให้กับแบรนด์ได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนในแง่การกลยุทธ์การตลาดและสื่อการตลาดของ H&M ถือว่ายังด้อยกว่า Uniqlo อยู่มากโข ทั้งการประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมทางการตลาดที่น้อยกว่า ขณะที่ Uniqlo โหมด้านดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง พร้อมทั้งมีกิจกรรมเอ้าท์ดอร์มากมายให้ผู้บริโภคคนไทยได้รู้จักแบรนด์ก่อนและกระตุ้นความต้องการ หากจำได้จะเห็นภาพของคนจำนวนมากต่อคิวหน้าห้างเซ็นทรัลเวิล์ดเมื่อปีที่แล้ว ส่วน H&M เพียงใช้สื่อ Traditional ในการสร้างการรับรู้เท่านั้น เช่น การ wrap ขบวนรถไฟฟ้า สถานีรถไฟฟ้า ถุงช๊อปปิ้งขนาดใหญ่หน้าห้างฯ นอกจากนี้มีดิจิตอลแคมเปญเล็กๆผ่าน Instagram เท่านั้น และการแจกส่วนลด 2,000 บาท แก่ 150 คนแรกที่มาต่อคิวร้านเปิด (29 ก.ย.)
แต่ต้องคอยติดตามว่า H&M จะเดินเกมส์บุกตลาดนี้อย่างไร เพื่อให้สมกับเป็นเบอร์ 1 ของตลาด Brand Buffet จะติดตามมาอัพเดท
Did you know :
Top 9 Best Fashion Brands by Intetrbrand 2012
1. Louis Vuitton (#17)
2. H&M (#23)
3. Zara (#37)
4. Gucci (#38)
5. Hermes (#63)
6. Burberry (#82)
7. Prada (#84)
8. Ralph Lauren (#91)
9. Gap (#100)
FYI :
บริษัท H&M Hennes & Mauritz AB (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในสวีเดนเมื่อพ.ศ. 2490 และได้รับการ Quote โดย NASDAQ OMX ในกรุงสต๊อกโฮล์ม แนวคิดด้านธุรกิจขององค์กร คือนำเสนอแฟชั่นและเครื่องแต่งกายที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม นอกเหนือจากแบรนด์ของ H&M แล้ว กลุ่มของบริษัทยังประกอบด้วยแบรนด์ย่อยอื่นๆ ได้แก่ COS , Monki, Weekday และ Cheap Monday รวมไปถึง H&M Home ด้วยเครือบริษัท H&M Group มีร้านค้าของตนเองทั้งสิ้นรวม 2,600 สาขาใน 44 กลุ่มตลาดทั่วโลก รวมถึงตลาดแฟรนไชส์ด้วย ในปี 2554 ยอดขายรวมภาษีมูลค่าเพิ่มขององค์กรคิดเป็นมูลค่ารวมได้ถึง 129,810 ล้านโครนาสวีเดน (SEK) และมีจำนวนบุคลากรขององค์กรมากกว่า 94,000 คน