พฤติกรรมด้านการใช้สื่อดิจิตอลของชาวอเมริกันค่อนข้างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้นักการตลาดต้องเร่งความเร็วไล่ตามทันให้ได้ และปรับแผนกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมเสมอ Business 2 Community สรุป 10 พฤติกรรมการใช้สื่อดิจิตอลของผู้บริโภคที่สำคัญ ซึ่งจริงแล้วก็ใกล้เคียงกับพฤติกรรมของไทยไม่น้อย และนักการตลาดจำเป็นต้องทราบ
1.Multi-tasking ในอุปกรณ์ดิจิตอลจะเริ่มเข้ามาแทนที่การดูทีวี
3 ใน 4 ของผู้ที่เป็นเจ้าของอุปกรณ์ดิจิตอล จะใช้งานอุปกรณ์ของพวกเขาในขณะกำลังดูทีวี นั่นหมายความว่ามันเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดึงความสนใจของผู้บริโภคมาที่จุดๆเดียว อย่างไรก็ตามยังคงมีวีธีการดึงดูดความสนใจของพวกเขาอย่างสร้างสรรค์จากทั้งสองหน้าจอได้ คือ แบรนด์ของคุณจึงควรจะหันมาทำการตลาดแบบ dual screen
2. ความนิยมการฟังเพลงผ่านอินเทอร์เน็ต
ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักฟังเพลง จากแหล่งออนไลน์ต่างๆ เช่น บริการจัดเพลงตามคำขอออนไลน์ออย่าง Pandora, สถานีวิทยุทางอินเทอร์เน็ต หรือ Youtube ซึ่งเบื้องหลังของการเติบโตนี้ก็คือเหล่านักโฆษณาทั้งหลายนั่นเอง ซึ่งช่องทางเหล่านี้ เป็นสิ่งที่แบรนด์ของคุณควรจะให้ความสำคัญ
3. ผู้ใช้ smartphone เกลียด Targeted Ads
อาจจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจนักการตลาด แต่กว่า 90% ของผู้ใช้ smartphone ไม่ชอบการโฆษณาที่เจาะจงเป้าหมายจากพฤติกรรมของผู้บริโภคและจะติดไปในเว็บอื่นๆ พวกเขาคิดว่ามันเป็นการล้ำสิทธิส่วนบุคคลและเป็นสิ่งที่ไม่น่าสบอารมณ์อย่างที่สุด อย่างไรก็ตามชาวอเมริกันมีความสนใจเกม ,แอพลิเคชัน และข้อมูลต่างๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถืออย่างมาก คุณจะใช้ช่องทางนี้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร แต่ต้องไม่สร้างความสำคัญแก่ผู้บริโภค
4. ผู้บริโภคต้องการภาพ ไม่ใช่ คำพูด
คอนเท้นท์ภาพกลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลมากกว่าคอนเท้นท์ประเภทคำพูดหรือคำบรรยาย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ Pinterest และวีดีโอออนไลน์ทั่วไป ในขณะนี้เว็บบล็อกชื่อดังอย่าง Tumblr ได้รับความนิยมจากวัยรุ่นมากกว่า Facebook เสีย เนื่องจากคอนเท้นท์ภาพสามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้มากกว่าคอนเท้น์ประเภทอื่นๆ ที่อยู่ในโลก Social Network ดังนั้นหากจะทำให้มีภาพที่ดึงดูดความสนใจแก่ผู้ชมก็จะดีไม่น้อย
5. การใช้เวลาว่างบนโลกไซเบอร์ของผู้บริโภค สร้างโอกาสอันดีให้กับนักการตลาด
ชาวอเมริกันมกใช้เวลาว่างของพวกเขานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับแบรนด์ต่างๆ มันจะดีมากหากแบรนด์ของคุณสามารถดึงดูดความสนใจผู้บริโภคได้ อย่าง StumbleUpon (search engine นำเสนอเว็บคอนเท้นท์ความชอบและพฤติกรรมของผู้บริโภค) , เว็บไซต์ตลกขบขัน หรือเกมออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นจะทำอย่างไรให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคในสถานะสิ่งพักผ่อนหย่อนใจของพวกเขา
6. Snapchat ที่จริงแล้วอาจจะมีไว้เพื่อการตลาด ไม่ใช่การส่งต่อภาพลามกอนาจาน
ก่อนหน้านี้ Snapchat ไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากถูกมองว่าเป็น App เข้าข่ายเรื่องเพศ แต่นักการตลาดหัวใสกำลังมองข้ามจุดนี้ไปและกำลังทดลองใช้งาน Snapchat ดังกล่าวเพื่อแจกคูปองส่วนลด จากเรื่องนี้ คุณอาจจะเอาสิ่งที่เกิดขึ้นเข้าไปมีส่วนในแผนการตลาดของคุณด้วยก็ได้
7. Tablet กลายมาเป็นช่องทางการซื้อขายหลัก
ผู้บริโภคใช้ Tablet กันมากขึ้น อีกทั้งยอดการสั่งซื้อสินค้ากำลังแซงหน้าจาก smartphone และคอมพิวเตอร์ในเร็วๆนี้ เนื่องจากสามารถพกพาติดตัวไปได้สะดวกสบายและง่ายต่อการซื้อ ดังนั้นแบรนด์ของคุณได้ปรับรูปแบบเว็บไซต์ รวมถึงสิ่งอื่นๆเพื่อรองรับผู้ใช้งาน Tablet ให้พร้อม
8. Amazon เป็น search engine สำหรับการช็อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุด
ผู้บริโภคที่ต้องการช็อปปิ้งมักเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Amazon มากกว่า Google ซึ่งแนวโน้มในลักษณะนี้ก็ดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากการจำนวนกาสมาชิกแบบ Prime(ระดับพิเศษ)ของ Amazon และตลาดสินค้าออนไลน์อื่นๆกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นบางทีสินค้าของคุณควรเข้าไปอยู่ใน Amazon และทำให้เป็นที่นิยมในนั้น
9. ห้ามละเลย Google+
Google ได้ให้ความชัดเจนในการที่จะผลักดันให้ Google+ ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยม โดยเริ่มมีการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆมากขึ้นเพื่อดึงดูดสมาชิก บางทีคุณอาจจะลองใช้ประโยชน์จาก Google+ ในปีนี้
10. ผู้บริโภคอาจจะรู้เรื่องราคาดีกว่าที่คุณรู้
Showrooming หมายถึง การใช้สโตร์เป็นสถานที่ชมและทดลองสินค้าแต่ไม่ซื้อที่นั้น กลับไปสั่งซื้อในออนไลน์ที่มีราคาถูกกว่าราคาสโตร์ เทรนด์นี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองในช่วงคริสมาสต์ปี 2012 และคาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริโภคสามารถที่จะเดินเลือกชมสินค้า จากร้านนั้นไปร้านนี้ เพื่อหาราคาของสินค้าที่ตรงกับความต้องการของพวกเขามากที่สุด แบรนด์ของคุณจึงต้องวางกลยุทธ์ในการตั้งราคาให้เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ดังกล่าว
ที่มา : B2C