HomeFeatured25 ที่สุดผู้พลิกเกมส์ธุรกิจแห่งปี 2013

25 ที่สุดผู้พลิกเกมส์ธุรกิจแห่งปี 2013

แชร์ :

game changer 2013

 

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ทุกๆอุตสาหกรรม ต้องมีตัวแม่ขับเคลื่อนและตัวสร้างสีสันให้วงการ  ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง แต่ด้วยการตัดสินใจของพวกเขา ทำให้เกิดบริษัทใหม่ๆ   ช่วยให้บริษัทรอดพ้นจากความสูญเสีย  หรือ  บุกเบิกเส้นทางใหม่ๆให้กับผู้อื่นเจริญรอยตาม  ดังนั้น เพื่อเป็นการยกย่องสรรเสริญให้กับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเด่น   จึงได้ทำการรวบรวม Game Changer (ผู้พลิกเกมส์)  ในธุรกิจสำคัญในด้านต่างๆ ทั้ง เทคโนโลยี, การค้าปลีก, บันเทิง, สื่อ, และการเงิน ในปีที่ผ่านมา

1. Angela Ahrendts: ซีอีโอ ของ Burberry ( ว่าที่ประธานบริหารฝ่ายค้าปลีกของ Apple)

แบรนด์ลักซ์ขัวรี่  Burberry  ภายใต้การนำของ  Angela Ahrendts  ได้สร้างเทคโนโลยีที่น่าเหลือเชื่อขึ้นในร้าน ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถใช้สมาร์ทโฟนเพื่อรับรู้อะไรที่มากกว่าแค่ตัวผลิตภัณฑ์ของบริษัท ในด้านของตราสินค้า เธอสามารถเปลี่ยน Burberry จากแบรนด์เสื้อผ้าที่คร่ำครึ กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับสูงที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ โดยมีมูลค่าตราสินค้ากว่า 1 หมื่น 4 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ
angela-ahrendts

 

2. Dan Akerson: ซีอีโอ ของ General Motors
ตลอดสองปีที่ผ่าน   รถหรูแบรนด์คาดิแลค(Cadillac) ได้ถูกปรับปรุงและสร้างสรรค์รถยนตร์เวอร์ชั่นใหม่ๆทั้ง ATS, XTS, and CTS สำหรับในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง  Cadillac  ถูกขายได้ถึง 13,808  คัน ในอเมริกา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 จากปีก่อน อันส่งผลให้ Cadillac  กลายเป็นแบรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบๆ 40 ปี ของ บริษัท General Motors  ทั้งนี้ต้องยกเครดิตความสำเร็จให้กับ  Dan Akerson ซึ่งทำรถให้มีความหรูหรา ไม่แพ้คู่แข่งอย่าง  BMW หรือ AUDI

dan-akerson

3. Jeff Bezos: ซีอีโอ ของ Amazon
อเมซอน (Amazon) เป็นแบรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ จากครั้งหนึ่งที่เคยเป็นแค่เว็บขายหนังสือ ปัจจุบันพวกเขาขายแทบทุกอย่างเท่าที่บนโลกนี้จะหาซื้อได้ และล่าสุด โทรศัพท์มือถือ  คือ  อีกสินค้านึงที่พวกเขาคิดจะลงไปเล่น ซึ่งเกิดมาจากข่าวที่อเมซอนพัฒนาสมาร์ทโฟนร่วมกับ HTC  และดูแลการบริการขนส่งสมาร์ทโฟนนี้  ซึ่งถือยิ่งใหญ่กว่าตัว Kindles เสียอีก

jeff-bezos

 

4. Neil Blumenthal & Dave Gilboa:  ผู้ร่วมก่อตั้ง และ ซีอีโอ ของ Warby Parker
สองหนุ่มจากมหาวิทยาลัย Wharton  .ใช้วิธีให้แว่นฟรีแก่ผู้ซื้อบางคนที่จำเป็นต้องใช้   จึงทำให้ Warby Parker สามารถสู้กับ Luxottica บริษัทที่แทบจะผูกขาดอุตสาหกรรมแว่นตาไว้แต่เพียงผู้เดียวได้  และในปีนี้เอง Warby Parker ก็ได้ทำการเปิดร้าน flagship Store และได้สร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับ  American Express รวมไปถึง J.Crew ซีอีโอของ Mickey Drexler ก็ได้ร่วมลงทุนด้วย นอกจากนี้ Warby Parker ยังเป็นบริษัทที่ทันสมัยอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะ ล่าสุดพวกเขาเป็นพาร์ทเนอร์กับกูเกิ้ล (Google)เพื่อสร้าง Google Glass ให้ดูมีสไตล์มากยิ่งขึ้น

neil-blumenthal-and-dave-gilboa

5. Warren Buffett : ซีอีโอ ของ Berkshire Hathaway
เขาคือนักลงทุนระดับปรมาจารย์และ 1 ใน  4  บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก   ในปีล่าสุด เขานำ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้ง ร่วมกับ บริษัท 3G Capital เพื่อเข้าซื้อบริษัทซอสมะเขือเทศ Heinz มูลค่า 2 หมื่น 8 พันล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ และบริษัทไฟฟ้าและแก๊ส NV Energy ด้วยมูลค่า 5.6 พันล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ  Berkshire Hathaway อาจพลาดรายได้ในไตรมาสที่สามของปีที่ผ่านมา ทว่า การเดิมพันระยะยาวในตลาดหุ้น สามารถทำเงินถึง 519 ล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ

warren-buffett

6. Kat Cole: ประธาน ของ Cinnabon
ด้วยความสามารถของ Cole จากแต่เดิมที่ร้าน  Cinnabon เป็นเพียงแค่ร้านอาหารเล็กๆในห้าง  ปัจจุบันกลับกลายเป็นเฮาส์โฮลด์แบรนด์ขนมอบและเครื่องดื่มเป็นที่เรียบร้อย  ด้วยการครีเอทการจัดชั้นวางและสร้างสาขาฟาสต์ฟู้ดเหมือนร้าน Taco Bell  จึงทำให้ในปีนี้ Cinnabon จะมียอดขายถึง 1 พันล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ อย่างแน่นอน

kat-cole

7. Dick Costolo: ซีอีโอ ของ Twitter
นับเป็นปีที่สำคัญของบริษัทโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Twitter พวกเขาได้ประกาศขายหุ้น IPO เป็นที่เรียบร้อย โดยราคาต่อหุ้นถูกกำหนดไว้ที่ 26 ล้านเหรียญต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม  เมื่อถึงคราวซื้อขาย ราคากับพุ่งไปถึง 45.10 ล้านเหรียญ และจบลงด้วยราคา 44.90 เหรียญ  Costolo  อดีตเดี่ยวไมโครโฟน  ซีอีโอคนปัจจุบัน นั้นเข้ามารับหน้าที่ตั้งแต่ปี 2010  ซึ่งในขณะนั้น มีรายรับเพียงแค่ 28 ล้านเหรียญต่อปี ทว่า ในปีนี้ Twitter เติบโตอย่างน่าตกใจด้วยตัวเลขรายรับ 254 ล้านเหรียญ ในครึ่งปีแรกของปี 2013

dick-costolo

8. Reed Hastings: ซีอีโอ ของ Netflix
เมื่อไม่นานมานี้ วอลล์สตรีทกระหน่ำซ้ำเติมถึงความเป็นผู้นำกิจการที่ผิดพลาดของ Hastings เมื่อเขาแยก Netflix ออกเป็นสองบริษัท คือ ธุรกิจบริการชมวิดีโอออนไลน์ กับ ธุรกิจ DVD-by-mail  ทว่า ในปัจจุบัน เขาสามารถกู้บริษัทกลับคืนมาได้สำเร็จ เพราะล่าสุด Netflix กลายเป็นบริษัทที่ได้สิทธิ์ช่องเคเบิลอย่างถูกกฎหมาย หุ้นของพวกเขาจึงพุ่งขึ้นถึง 260% ในปีนี้ และ Netflix ยังได้เดิมพันครั้งใหญ่กับรายการใหม่ๆอีกด้วย

reed-hastings

9. Marillyn Hewson: ซีอีโอของ Lockheed Martin
เธอนับเป็นซีอีโอหญิงคนแรกของผู้ทำสัญญาด้านการป้องกันที่ใหญ่ที่สุดของโลก  ตอนที่ประสบกับการตัดงบประมาณของรัฐบาล เธอได้ทำการตัดสินใจที่จะป้องกันผลกระทบในอนาคต โดยให้พนักงาน 2,400 คน ออกจากงาน และประกาศปลด 4,000 ตำแหน่ง เพื่อลดค่าใช้จ่าย  ทำให้ในไตรมาสที่สาม Lockheed Martin มีกำไรเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมา และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Lockheed Martin ได้ประกาศว่า จะเข้าร่วมในการประมูลการสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดลำใหม่

marillyn-hewson

10. Bob Iger: ซีอีโอ ของ Disney
ในปีนี้ ดิสนีย์ (Disney) ได้ซื้อ Lucasfilm ด้วยมูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่า ดิสนีย์น่าจะทำรายได้จากแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ Star Wars ได้อย่างมหาศาล โดยมีการวางแผนไว้แล้วว่า Disney จะปล่อย Star Wars ภาคใหม่ออกมาให้ชมกันในเดือนธันวาคมปี 2015 ในระหว่างนั้น ของเล่น ของสะสม เกมส์ หรืออะไรต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ Stars Wars คงจะสร้างรายรับให้กับดิสนีย์ไม่น้อยทีเดียว   นอกจากนี้ยังจะมีโชว์เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่จาก  Marvel ในช่อง Netflex อีกด้วย   ล่าสุดไตรมาสที่สาม ส่วนแบ่งตลาดของดิสนีย์เพิ่มขึ้นถึง 3%

bob-iger

11. Hubert Joly: ซีอีโอ ของ Best Buy
ในขณะที่หลายๆคนคาดการณ์ว่า Best Buy จะย่ำแย่ลง Joly กลับใช้กลยุทธ์ ‘Renew Blue’ เพื่อยกระดับสิ่งที่เคยเป็นจุดอ่อน, ตามเกมส์การแข่งขัน และ กระตุ้นบริษัทขึ้นมาอีกครั้ง  เขากำลังปิดร้านค้าที่ใหญ่เกินไปและใช้ประโยชน์ได้ไม่คุ้มค่าลง โดยเลือกพื้นที่เล็กๆแทน และในขณะเดียวกันก็ทำการขนส่งสินค้าโดยตรงสำหรับลูกค้าออนไลน์ ซึ่งความพยายามดังกล่าว ส่งผลให้ พวกเขามีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นถึง 10% ในไตรมาสที่สาม

hubert-joly

12. Jørgen Vig Knudstorp: ซีอีโอ ของ Lego Group
Lego Group เกือบจะล้มละลายในปี 2003 แต่เมื่อ Knudstorp เข้ามาเป็นซีอีโอในปีต่อมา เขาทำผลงานได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายของบริษัทเป็นอย่างมาก ด้วยการเพิ่มนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ ซึ่งในปีนี้เอง Lego Group ก็กลายมาเป็นธุรกิจผู้สร้างสรรค์ของเล่นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกได้สำเร็จ ด้วยการเจาะตลาดเอเชีย และทำการสร้างตัวต่อพลาสติคอันโด่งดังของพวกเขาผ่านวิดีโอเกมส์, สวนสนุก และ The Lego Movie ที่จะเข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

jrgen-vig-knudstorp

13. Matt Maloney: ซีอีโอ ของ GrubHub Seamless
กิจการบริการส่งอาหารออนไลน์ที่เป็นคู่แข่งกันมาเสมอ อย่าง GrubHub กับ Seamless ได้ควบรวมกันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยการกุมบังเหียนของ Maloney Seamless นั้นเป็นเจ้าของตลาดในเมืองนิวยอร์ค ในขณะที่ Grubhub ถือครองในส่วน Midwest ดังนั้น การควบรวมกัน จึงส่งผลให้สามารถเข้าถึงตลาดได้ถึง 500 เมือง และ มีร้านค้าที่ร่วมงานด้วยกว่า 20,000 แห่ง และในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท GrubHub Seamless ยังมีการวางแผนที่จะเสนอขายหุ้น IPO ในปี 2014 อีกด้วย

matt-maloney

14. Marissa Mayer: ซีอีโอ ของ Yahoo!
Mayer พยายามประคอง Yahoo  ที่กำลังตกต่ำลงเรื่อยจากการควบคุมทิศทางของซีอีโอ 6  คนก่อน    โดยเธอทำการเข้าซื้อกิจการกว่า 17 แห่ง หนึ่งในนั้นมี Tumblr ธุรกิจบริการ blogging ด้วยมูลค่ากว่า 1.1 พันล้านเหรียญ, ทำการปรับปรุง Flickr เว็บไซต์แบ่งปันรูปภาพ  รวมไปถึง การดีไซน์โฮมเพจและโลโก้ของ Yahoo ใหม่อีกครั้ง   นอกจากนี้ Yahoo ก็กำลังโฟกัสไปที่ธุรกิจมือถือและแอพพลิเคชัน

marissa-mayer

15. Alan Mulally: ซีอีโอ ของ Ford Motor
ภายใต้การนำของ  Mulally Ford เป็นบริษัทรถยนต์เพียงหนึ่งเดียวในอเมริกา ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากองทุนช่วยเหลือฉุกเฉินในยามที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งหลังจากที่เขามารับตำแหน่ง บริษัทก็ไม่เคยประสบกับการสูญเสียกว่าหลายพันล้านดอลล่าห์เฉกเช่นปี 2006 อีกเลย โดย Reuters ขนานนามเขาว่าเป็น  Turnaround Expert และล่าสุด เขากลายเป็นตัวเต็งที่จะเข้ารับตำแหน่งซีอีโอของ Microsoft แม้เขาจะไม่ได้มาจากสายงานเทคโนโลยีมาก่อนก็ตาม

alan-mulally

16. Elon Musk: ซีอีโอ ของ Tesla and SpaceX
ในปีนี้  Musk สร้างความฮือฮาให้แก่วงการสองเรื่องด้วยกัน  หนึ่งคือ  แผนการณ์รถยนต์ไร้คนขับ และ สอง คือ ความตั้งใจที่จะออกแบบ Hyperloop หรือ การคมนาคมขนส่งในรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยให้เราเดินทางจากแอลเอไปซานฟรานซิสโก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 35 นาที

elon-musk

17. Larry Page: ซีอีโอ ของ Google
นี่คือบุคคลที่กำลังจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง ในช่วง 12 เดือนล่าสุด Google สร้างผลกำไรเกือบ 1 หมื่น 8 พันล้านเหรียญ และ Page ยังคงสนับสนุนการใช้จ่ายเงินในโครงการที่มีความทะเยอทะยานและจำต้องใช้การลงทุนสูง เช่น การเข้าซื้อกิจการของ Motorola, Google Glass, Google Fiber, self-driving cars, และ เทคโนโลยี “moon shots” จนส่งผลให้หุ้นของ Google เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

 larry-page

18. Jonah Peretti: ซีอีโอ ของ BuzzFeed
Peretti เปิดตัว BuzzFeed ในปี 2006 ซึ่งภายใต้การนำอันบ้าคลั่งของเขา ทำให้ BuzzFeed มีผู้อ่านถึง 85 ล้านคน ต่อเดือน Peretti ทำให้ BuzzFeed โดดเด่น ด้วยการใช้แหล่งข่าวที่ถูกกฎหมาย เน้นนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง และยังทำการขยายเนื้อหาให้มากยิ่งขึ้น โดยการพัฒนาทีมงานสองฝ่าย คือ ผู้สื่อข่าวนานาชาติ กับ นักข่าวที่ทำการสืบค้นข้อมูลข่าวสารแบบเจาะลึกก่อนที่จะนำมาเผยแพร่

jonah-peretti

19. Karl Johan Persson: ซีอีโอ ของ H&M
Persson ก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมแฟชั่นค้าปลีก เมื่อเขากล้าเลือกใช้นางแบบที่รูปร่างค่อนข้างอวบมาเป็นพรีเซนเตอร์ของ H&M ในคอลเลคชั่นชุดว่ายน้ำ นอกจากนี้เขายังเลือก Beyoncé ให้มาเป็นพรีเซนเตอร์ในแคมเปญโฆษณาช่วงซัมเมอร์ เขาบอกว่านางแบบหลายคนในอดีตนั้นมีรูปร่างผอมเพรียวเกินไปและเขาคิดว่าแบรนด์อื่นๆ ควรทำตามตัวอย่างของเขา  สุดท้าย H&M ได้เปิดขายสินค้าออนไลน์ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยจะมีรายการสินค้าทั้งหมด  ซึ่งจะมีการเพิ่มขนาดและรูปแบบที่มากขึ้น

karl-johan-persson

20. Ginni Rometty: ซีอีโอ ของ IBM
สำหรับตำแหน่งซีอีโอเป็นปีที่สองของเธอ Rometty ได้ทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจไปกับ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่ชื่อ Watson ซึ่งมันเป็นมากกว่าเครื่องคิดคำนวณตัวเลขและสถิติ  แต่มันสามารถรับข้อมูลด้วยความเร็วอันไม่น่าเชื่อ และยังสามารถเริ่มวินิจฉัยและต่อสู้กับโรงมะเร็งได้ด้วย ทั้งนี้ ไอบีเอ็มยังเป็นผู้บุกเบิกตลาดเช่นแอฟริกา ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มฐานะทางการเงินให้กับบริษัทในอนาคต และสำหรับ Rometty เธอคือ ซีอีโอหญิงคนแรก ในประวัติศาสตร์บริษัท

ginni-rometty

21. Sheryl Sandberg: ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Facebook
เธอเป็นพนักงานกลุ่มแรกๆ ที่เข้าทำงานที่บริษัทในขณะที่ Facebook กำลังมีปัญหา แต่ด้วยความเป็นผู้นำของเธอ ทำให้บริษัทสามารถรักษาผลกำไรไว้ได้ และเป็นคนสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายโฆษณา จนในที่สุดหุ้น Facebook กระเด้งสูงกว่าราคาเสนอขายหุ้น Sandberg จึงตัดสินใจขายหุ้นในมูลค่า 91ล้านเหรียญ และยังถือหุ้นมูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญ ทำให้เธอเป็นหนึ่งในเศรษฐิณีของโลก Sheryl Sandberg ไม่เพียงแต่เป็นซีอีโอที่มีประสิทธิภาพเท่านั้นแต่เธอยังต้องการเป็นกระบอกเสียงให้กับสตรีทั้งหลายในเรื่องของปัญหาของสตรีในฐานะผู้บริหารอีกด้วย หนังสือของเธอที่ออกมาในเดือนพฤษภาคม ได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งในหนังสือธุรกิจที่มีอิทธิพลมากที่สุดของปี 2013

sheryl-sandberg

22. Josh Sapan: ซีอีโอ ของ AMC Networks
Sapan ได้ลงทุนท่ามกลางความสำเร็จอย่างล้นหลามของซีรีย์  “Breaking Bad,” “Walking Dead” และ “Mad Men” ซึ่งสำหรับกิจการเครือข่ายเคเบิล โดยปกติแล้ว พวกเขาจะเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณเสมอ และเป็นครั้งแรก ที่ปีนี้ AMC Networks ได้ขายสื่อโฆษณาผ่านช่องทางทั้งสี่ช่อง อันได้แก่ IFC, AMC, WeTV และ Sundance Channel และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง AMC Networks ได้ทำการซื้อ Chellomedia ผู้จัดจำหน่ายรายการ ด้วยมูลค่าถึง 1.04 พันล้านเหรียญสหรัฐ

josh-sapan

23. Kip Tindell: ซีอีโอ ของ The Container Store
แม้ว่าจะไม่ได้มีกำไรในช่วงสามปีหลัง แต่ The Container Store ก็ได้มีการเติบโตอย่างจริงจัง ค่อยๆลดความสูญเสียลงได้ และมีราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นในวันเปิดตัว โดยบริษัทมีรายงานยอดขายที่สูงขึ้นในสาขาเดิม และถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการทำงาน Tindell ยังเป็นผู้สนับสนุน “ทุนนิยมแบบมีจริยธรรม”  โดยจะให้ความใส่ใจกับคนเป็นหลักไม่ใช่เพียงแค่ผลกำไร เห็นได้จากการที่ The Container Store จะใช้จ่ายรายได้กว่าครึ่งหนึ่งให้กับพนักงาน ซึ่งสูงกว่าประมาณ 20% ของค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมทั่วไป

kip-tindell

24. Jeff Weiner: ซีอีโอ ของ LinkedIn
Weiner ร่วมงานกับ Linkedln ในปี 2008 ซึ่งจนถึงตอนนี้ บริษัทเติบโตจากยอดสมาชิกเพียง 33 ล้านคน ขึ้นมาเป็น 225 ล้านคน และยอดรายรับก็เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า ที่ตัวเลขของผู้เยี่ยมชมมันมากขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชื่อว่า “University Pages” โดยมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน สำหรับผู้ใช้ที่อยู่ในวัยเล่าเรียน นอกจากนี้ Weiner ยังได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจและทรัพยากรต่างๆเพื่อปรับปรุงแอพพลิเคชั่นเว็บไซต์บนมือถืออีกด้วย

jeff-weiner

25. John Wren และ Maurice Lévy: ซีอีโอ ของ Omnicom Group และ Publicis Groupe (ตามลำดับ)
Omnicom และ Publicis ประกาศในเดือนกรกฎาคม ว่า พวกเขาจะควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดเป็นบริษัทโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และนับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม ด้วยมูลค่าของตลาดหุ้นถึง 35.1 พันล้านเหรียญ และมีพนักงานมากกว่า 130,000 คน ซึ่งในปีที่ผ่านมา Omnicom และ Publicis สามารถทำรายรับรวมกันได้ถึง 23 พันล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าบริษัทโฆษณาอันดับสองของโลกในปัจจุบันอย่าง WPP

john-wren-and-maurice-lvy

 

ที่มา :  Business Insider 

เรียบเรียง :  Warut


แชร์ :

You may also like