กลายเป็นดีลระดับบิ๊กล่าสุดที่สร้างเซอร์ไพร์สอย่างมาก เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง คือ “บีทีเอส กรุ๊ป” และ “แสนสิริ” ร่วมมือกันเซ็นต์สัญญาในรูปแบบ Joint Venture เพื่อร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งนับว่าเป็นการ่วมมือกันของบริษัทอันดับต้นๆ ของการพัฒนาอสังหาฯ กับบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน โดยดีลนี้มีเรื่องที่น่าสนใจ 10 เรื่อง ดังต่อไปนี้
1. การร่วมในครั้งนี้ทั้งสองบริษัทวางเงินทุนกัน 50:50 โดยลงทุนครั้งแรกฝ่ายละ 5,000 ล้านบาท
2. เหตุผลของบีทีเอส ที่ร่วมมือกับแสนสิริก็เพราะความต้องการที่อยากจะทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า โดยให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างแสนสิริเป็นคนพัฒนา รวมทั้งได้ฐานลูกค้าจากลูกบ้านแสนสิริ
3. เงื่อนไขหลักที่ทั้งสองบริษัทจะตัดสินใจออกโรง ทำให้นามของบริษัท Joint Venture ก็คือ ต้องมีระยะห่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอส หรือเอ็มอาร์ที ไม่เกิน 500 เมตร ทั้งเส้นทางเดินรถในปัจจุบันกับเส้นทางส่วนต่อขยายในอนาคต และมีมูลค่าใหญ่กว่า 3,000 ล้านบาท
4. เหตุผลของแสนสิริที่ลงทุนร่วมกับบีทีเอส เพราะประโยชน์จากบริษัทลูกและบริการของบีทีเอส นั่นคือ วีจีไอ(VGI) บริษัทอันดับ 1 ด้านสื่อนอกบ้าน กับบริการบัตร Rabbit Card ที่จะทำให้แสนสิริรับทราบถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคและออกแบบผลิตภัณฑ์ ร่วมทั้งทำ CRM ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และในอนาคตฐานข้อมูลนี้ก็จะมีมูลค่ามหาศาล อีกทั้ง เดิมต้นทุนของแสนสิริส่วนหนึ่งมาจากค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง และ “การทำการตลาด” การที่ได้วีจีไอมาเป็นพันธมิตรก็น่าจะทำให้ต้นทุนด้านการตลาดลดลง และพัฒนารูปแบบการสื่อสารได้ตรงกับความต้องการของคนในแต่ละพื้นที่มากขึ้น ปิดท้ายก็คือที่ดินที่บีทีเอสถือครองอยู่ก็นำมาพัฒนาได้
5. บีทีเอสให้บริการครั้งแรกวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542/ แต่ละวันให้บริการ 700,000 เที่ยวคน/ บัตรสมาร์ท การ์ด “Rabbit” มีฐานผู้ใช้งาน 3 ล้านใบ มีร้านค้าพันธมิตร 2,000 ร้าน/ สินทรัพย์ของบีทีเอส กรุ๊ปทั้งหมด 15,000 ล้านบาท
6. โครงการแรกที่ทั้งสองบริษัทจะเผยโฉมให้เห็นต้นปี 2558 คือ โครงการบริเวณบีทีเอส จตุจักร เป็นโครงการมูลค่า 6,000 ล้านบาท จำนวน 900 ยูนิต จุดเด่นอยู่ที่ความใกล้รถไฟฟ้า และมีวิวสวนสาธาระ 700 ไร่
7. ที่ดินที่ยังเหลืออยู่ในมือของบีทีเอส กรุ๊ป นอกจากจตุจักรแล้วยังมีที่พญาไทประมาณ 30 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างศึกษาว่าจะนำมาให้บริษัท Joint Venture นี้พัฒนาหรือไม่
8. เล่าถึงดีลของทั้ง 2 บริษัทมาตั้ง 7 ข้อ แต่ยังไม่ได้เรียกชื่อบริษัทร่วมทุนเลย เพราะว่ายังไม่มีการตั้งชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการ
9. ชื่อโครงการแรกก็ยังไม่มีการตั้งชือ่เช่นกัน ตอนนี้กำลังศึกษาว่าจะใช้รูปแบบใดระหว่าง 3 ตัวเลือกในการปั้นแบรนด์โครงการ 1. ใช้ชื่อของแสนสิริเลย 2. ใช้ Sub-Brand เช่น xxx by Sansiri 3.ตั้งชื่อแบรนด์ใหม่
10. แสนสิริก่อตั้งเมื่อปี 2527 ในชื่อ บริษัทแสนสำราญโฮลดิ้งส์ จำกัด/ ปัจจุบันมีอายุ 30ปี/ ทำโครงการต่างๆ มาแล้ว 271 โครงการ คิดเป็น 71,982 ยูนิต ใน 13 จังหวัด