มีคำพูดที่กล่าวไว้ว่า “ถ้าอยากเข้าใจปัจจุบัน และคาดเดาอนาคต ต้องเริ่มจากการศึกษาประวัติศาสตร์” และความคิดแบบนี้นี่เอง ที่เป็นที่มาของกิจกรรม “ตะลอนกิน” งานนี้อิ่มกันให้เต็มที่ทั้งอิ่มท้องและอิ่มสมอง จากมื้ออาหารและการบรรยายของกูรูผู้รู้เรื่องประวัติศาสตร์
ปกติงาน CSR กิจกรรมเพื่อสังคมของ SCG จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างสรรค์นวัตกรรม, การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาคน แต่กิจกรรม “ตะลอนกิน” ซึ่งจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และ เดินทางมาถึงภาคเหนือจนกลายเป็น “ตะลอนกินถิ่นเหนือ” เต็มไปด้วยเทนูของอาหารเหนือหรือที่เรียกว่า “อาหารเมือง” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างสูง รสชาติไม่หวานจัด แต่อาศัยความหวานจากผัก มีเครื่องปรุงหลายอย่างที่หาได้ยากจากภาพอื่น เช่น ถั่วเน่า น้ำปู๋ ดอกงิ้ว และทริปการเดินทางนี้ก็พาเราไปเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ ที่เชียงใหม่และลำพูน
วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารองค์กร เอสซีจี กล่าวถึงกิจกรรมนี้ว่า “การเรียนประวัติศาสตร์ทำให้เราเข้าใจรากเหง้าของเรา เรียนรู้ว่าอะไรที่ดีงาม ที่ประสบความสำเร็จก็ควรจะคงเอาไว้ และการกินของแต่ละวัฒนธรรมก็มีเรื่องของความเชื่อ ความเป็นอยู่ ตามสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของคนในบริเวณนั้น ทั้งเรื่องการทำอาหาร การถนอมอาหาร แล้วทริปนี้ก็มีกูรูเรื่องอาหารและประวัติศาสตร์มาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ และการอนุรักษ์สิ่งดีงามไว้ในสังคม จึงเป็นที่มาที่เราเชิญนักคิด นักเขียนมาร่วมทริป”
และผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความรู้ในทริปนี้ประกอบด้วย คุณอานันท์ ปันยารชุน, รศ.ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม, อ. นิวัติ กองเพียร, คุณชัย ราชวัตร, อ.ขวัญสรวง อติโพธิ, คุณมาโนชพุฒตาล และนักแสดงรุ่นใหญ่คุณนิรุตติ์ ศิริจรรยา เมื่อผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาร่วมแลกเปลี่ยนกัน ทั้งหมดจึงเป็นทริปที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำถาม คำตอบ การถกเถียงทางวิชาการที่มีคุณค่า และน่าจะเป็นการส่งผ่านความรู้ไปสู่สาธารณชนรุ่นหลังอีกมากมายในภายภาคหน้า
ในการเดินทางครั้งนี้ นอกจากอาหารที่ได้ชิมแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เช่น พระธาตุดอยน้อย จังหวัดเชียงใหม่ พระธาตุหริภุญชัย เจดีย์กู่กูดวัดจามเทวี และอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ผู้ก่อตั้งเมืองลำพูน และไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเยี่ยมชมสวนไม้ไทยบ้านพ่อเลี้ยงหมื่นลำพูน ที่ทุกวันนี้สืบทอดมาสู่รุ่นลูก พ่อเลี้ยงแดง-สุทธิพงษ์ ใหม่วัน ซึ่งบอกได้เลยว่าน่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังระดับประเทศเร็วๆ นี้แน่นอน
บนพื้นที่ 300 ไร่ พ่อเลี้ยงแดง ใช้เวลากว่า 10 ปี ตั้งใจแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซน ก่อสร้างสถาปัตยกรรมโดยได้รับแรงบันดาลใจตามรูปแบบของศิลปะและยุคสมัย ดังนี้ 1. เขมร 2. หริกุญชัย 3. ศรีวิชัย และโซนสุดท้ายที่ปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ คือ ศิลปะแบบล้านนา เหตุผลที่พ่อเลี้ยงแดงต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้ก็เพื่อเป็นมรดกให้กับคนรุ่นหลัง รวมทั้งเป็นความชื่นชอบส่วนตัว พ่อเลี้ยงแดงเลือกที่จะมาตั้งรกรากอยู่ที่ลำพูนเพื่อใช้ดินของที่นี่ที่เหมาะกับสไตล์การปั้น บนเนื้อที่ของอาณาจักรแห่งนี้ยังเป็นโรงปั้นดินเผา ที่เปิดสอนให้กับนักเรียนที่สนใจมาเรียนได้ฟรี ถึงแม้ว่าจะหาคนที่ชื่นชอบและมีพรสวรรค์จริงได้ยาก ขนาดที่พ่อเลี้ยงอธิบายว่า เรียนรุ่นหนึ่ง 30 คน มีคนที่ใช้ได้แค่ไม่เกิน 2 คน ภายในเร็ววันนี้สถานที่แห่งนี้จะเปิดให้เข้าชมอย่างเต็มตัว แต่ตอนนี้สำหรับผู้ที่สนใจอยากศึกษาเรื่องของต้นไม้ สวนบอนไซ และสถาปัตยกรรมและศิลปะการปั้นดินเผา สามารถติดต่อขอเข้าชมได้เป็นกรณีพิเศษ ส่วนเรื่องว่าสิ่งปลูกสร้างของที่นี่อลังการแค่ไหน คงไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ขอให้ชมผ่านรูปภาพทั้งหลาย บอกได้แต่เพียงว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีส่วนอื่นๆ อีกมาก และยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ถ้าหากว่าเต็มรูปแบบเมื่อไหร่ คงจะสะท้อนความหลงใหลในงานปั้นของเศรษฐีผู้กว้างขวางแห่งเมืองเหนือท่านนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะคงไม่ใช่คนรวยทุกคนที่สร้างปราสาทแบบนี้ไว้ในบ้าน
ทริปที่มีเริ่มต้นจุดมุ่งหมายด้านการตะลอนกิน ชิมอาหารเมืองเหนือ แต่การสร้างจุดมุ่งหมายของการเดินทางไว้ที่กิจกรรมอะไรสักอย่าง ตอนจบลงท้ายมักได้มามากกว่าที่คาดเสมอ เหมือนกับกิจกรรมในครั้งนี้ ที่มีร่องรอยของประวัติศาสตร์ วัฒธรรม และศิลปะแฝงอยู่ทุกมื้อ
เย้ๆๆ อีกหนึ่งช่องทางรับข่าวสารกับ Brand Buffet ผ่าน LINE ไม่ตกหล่นทุกข่าวสำคัญ
เพิ่มเพื่อนรัวๆ ที่ ID : @brandbuffet