ถึงแม้กระแสกล้อง Mirrorless จะมาแรง แต่ แคนนอน(Canon) ก็เปิดตัวกล้องใหม่ 14 รุ่นรวดโดยมีไฮไลต์ที่ EOS 5DsR และ EOS 5Ds ซึ่งเป็นกล้องสำหรับมืออาชีพที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ ด้วยความละเอียดภาพสูงสุด 50.6 ล้านพิกเซล!!! พร้อมประกาศ จะอยู่ในเกมของตัวเอง ไม่ลุยในตลาดที่ในระดับโลกยังเป็นตลาดเล็กอยู่
สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารเรื่องกล้องมาพอสมควรจะพบว่า ที่ผ่านมาแคนนอนที่กล้องในกลุ่มที่เรียกว่า Mirrorless ทั้งๆ ที่แคนนอนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์ 1 ในเรื่องกล้องมานาน วรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป, บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ให้เหตุผลว่า
“แคนนอนจะพัฒนาสินค้า ก็อาจจะต้องอิงกับตลาดโลก ซึ่งรายได้ในเอเชียของแคนนอนแค่ประมาณ 10 % กว่าๆ เท่านั้น ขณะที่อเมริกาหรือยุโรป เขานิยมใช้กล้อง DSLR กัน ส่วนกล้อง Mirrorless ได้รับความนิยมในเอเชียบางประเทศ อย่างญี่ปุ่น, ไทย และอีกไม่กี่ประเทศเท่านั้น ที่ญี่ปุ่นเขาชอบก็เพราะวัฒนธรรมที่ชอบอะไรกุ๊กกิ๊ก น่ารัก”
ดังนั้นแคนนอนซึ่งเป็นเจ้าตลาดกล้อง DSLR และมีภาพลักษณ์ของความเป็นมืออาชีพ จะไม่ขอเล่นเกมเดียวกับคู่แข่ง แต่จะพยายามทำให้คู่แข่งหันมาสู้ในศึกกล้องโปรฯ มากกว่า แนวคิดนี้สะท้อนออกมาเป็นสินค้าที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่ง Mirrorless มีเพียง EOS M3 ออกมาเป็นทางเลือกเท่านั้น ขณะที่คู่แข่งรายอื่นๆ เช่น ฟูจิ ซึ่งแถลงข่าววันเดียวกัน และประกาศตัวเป็นเบอร์หนึ่งในกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้มีรุ่นให้เลือกมากกว่ามาก ยังไม่นับโซนี่, โอลิมปัส, พานาโซนิค หรือแม้แต่ นิคอน คู่แข่งในสนามกล้องมืออาชีพก็ดูเหมือนจะทนไม่ไหว ต้องมีกล้อง Mirrorless มาแย่งแชร์ในตลาดนี้บ้าง ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อผู้บริโภคเริ่มหันไปทดลองใช้แบรนด์อื่นแล้วจะติดใจจนเมื่ออยากซื้อกล้องโปรฯ จะหันไปหาแบรนด์อื่นเลยหรือไม่ แคนนอนกำลังจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่แคนอนก็ไม่ยอมเสียมาร์เก็ตแชร์ในตลาดกล้องมืออาชีพ ซึ่งครองส่วนแบ่งอยู่ราว 60% อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกไม่เติบโตอย่างที่คิด ปีนี้จึงแคนนอนพยายามรักษาระดับยอดขายจุดเดิมเอาไว้ให้ได้
สินค้าไฮไลต์สำคัญของ แคนนอน ยังเน้นหนักไปที่กล้อง DSLR ไม่ว่าจะเป็น EOS 5DsR และ EOS 5Ds ซึ่งเป็นกล้องสำหรับมืออาชีพ สตูดิโอหรือคนที่รับงานถ่ายภาพอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังมีกล้องสำหรับมือใหม่อีก 2 รุ่น EOS 760D และ 750D และกล้องวิดีโอ Cinema EOS XC10 ขนาดจิ๋วแต่แจ๋วด้วยความละเอียด 4K ตอบรับกระแส HD ทั้งในจอโทรทัศน์และจอคอมพิวเตอร์ได้สบายๆ หรือถ้าหากว่าเป็นกล้องกลุ่มซูเปอร์ซูมกับคอมแพ็คไปเลยก็มีทางเลือกให้ใช้งานอีก 7 รุ่น ซึ่งทั้งหมดจะเน้นไปที่กลุ่มกล้องระดับกลางถึงระดับบนเป็นหลัก แม้แต่กล้องคอมแพ็คราคาก็ยังมีราคาเริ่มต้นที่ 4,000 บาทขึ้นไป พร้อมกับมีสัญญาณ Wifi ในตัว เพราะกล้องราคาต่ำกว่านั้นอาจะไม่ใช่ทางเลือกในยุคที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนทั้งหลายก็ตอบโจทย์การใช้งานได้หมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม แคนนอนมองว่าแนวโน้มการใช้สมาร์ทโฟนถ่ายรูปเป็นเทรนด์ที่มาแรง แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการทำตลาดกับกลุ่มคนที่ “Enjoy Photo” เมื่อมีความสุขกับการถ่ายภาพแล้วก็น่าจะมองหาวิธีถ่ายภาพให้ได้คุณภาพที่ดีขึ้นตามไปด้วย และนั่นก็สอดคล้องกับแบรนด์แคนนอนที่เชี่ยวชาญเรื่องกล้องอยู่แล้ว สิ่งที่แคนอนต้องทำต่อไปก็คือ ให้ความรู้และสร้างค่านิยมให้คนรุ่นใหม่รักและสนุกกับการถ่ายภาพ จึงเป็นที่มาของกิจกรรมการตลาดที่ในครึ่งปีหลัง แคนอนจะทำแคมเปญประกวดภาพถ่าย เวิร์คช็อป คอร์สอบรมถ่ายภาพ และสัมนา ภายใต้แนวคิด Canon Photo Culture รวมแล้วไม่น้อยกว่า 200 โครงการ