ในงานแถลงข่าวผลประกอบการของเอสซีจี ไตรมาส 3 ของปี 2558 เอสซีจีได้ประกาศเปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าจาก “ตราช้าง” มาเป็น “เอสซีจี” ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสินค้ากับองค์กรได้ดีมากขึ้น และส่งผลทำให้แบรนด์เอสซีจีมีพลังและแข็งแกร่งมากขึ้น พร้อมสามารถเป็นแบรนด์ที่ก้าวไปสู่แบรนด์ระดับโลกได้
สินค้าแบรนด์ตราช้างทั้งหมด ได้แก่ ปูน หลังคา เหล็ก ท่อพีวีซี ผนังสมาร์ทบอร์ด อุุปกรณ์ตกแต่งภูมิทัศน เป็นต้น จะถูกเปลี่ยนเป็นแบรนด์ เอสซีจี ทั้งในปรเทศไทยและประเทศลาว (ปกติในต่างประเทศใช้แบรนด์เอสซีจีอยู่แล้ว)
ส่วนผลประกอบไตรมาส 3 ของปี 2558 มีรายได้จากการขาย 110,898 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามราคาแนฟทาและราคาน้ำมันที่ลดลง แต่ยังมีกำไร 9,001 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามส่วนต่างราคาของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (stock loss) ถึง 2,160 ล้านบาทก็ตาม สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2558 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 333,992 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีกำไร 33,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 มีมูลค่า 507,266 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สาม ปี 2558 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 43,570 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน จากความต้องการของตลาดภายในประเทศลดลง มีกำไร 2,073 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 28 จากไตรมาสก่อน สำหรับ 9 เดือนของปี 2558 มีรายได้จากการขาย 136,314 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวช้าของตลาดภายในประเทศ มีกำไร 8,527 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 51,591 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน จากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงอย่างมากตามราคาน้ำมันดิบ มีกำไร 6,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 26 จากไตรมาสก่อน จากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือดังกล่าว สำหรับ 9 เดือนของปี 2558 มีรายได้จากการขาย 153,183 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 20,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 135 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 18,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน มีกำไร 645 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และลดลงร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน จากค่าเสื่อมราคาและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น สำหรับ 9 เดือนของ ปี 2558 มีรายได้จากการขาย 52,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากทั้งสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ มีกำไร 2,287 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนสินค้านวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services : HVA)เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 124,072 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34 ของช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ตราสินค้า SCG eco value มียอดขาย 87,954 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 ของยอดขายรวม โดยใน 9 เดือนแรกของปี 2558 เอสซีจีใช้งบประมาณ R&D 2,354 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.7 ของยอดขายรวม โดยงบประมาณที่จัดสรรไว้ทั้งปีอยู่ที่ 4,800 ล้านบาท และในปี 2559 – 2560 เอสซีจีตั้งงบประมาณ R&D ไว้ 6,700 ล้านบาท และ 8,300 ล้านบาท ตามลำดับ