ผลประกอบการเอสซีจี (SCG) ปี 2558 มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมีภัณฑ์ เชื่อมั่นปี 2559 เศรษฐกิจไทยและอาเซียนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โครงการลงทุนของเอสซีจีในอาเซียนเดินหน้าต่อเนื่องตามแผน เพื่อผลิตสินค้ารองรับตลาดและการเติบโตของภูมิภาค พร้อมเตรียมงบการวิจัยและพัฒนา ตามกลยุทธ์มุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างยั่งยืน
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2558 มีรายได้จากการขาย 439,614 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากปีก่อน มีกำไร 45,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น แม้ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในประเทศมีผลการดำเนินงานลดลง นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออก 126,996 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 29 ของยอดขายรวม
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2558 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 105,622 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง และลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง มีกำไร 11,449 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ปี 2558 เอสซีจีมีขาดทุนจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำรวม 3,630 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ในปี 2558 เอสซีจี
มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและจากการส่งออกไปยังอาเซียน 100,150
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของรายได้รวม ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน ทั้งนี้ เป็นรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน 47,172 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากการส่งออกไปยังอาเซียน 52,978 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 ของรายได้รวม ลดลงร้อยละ 6
จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 มูลค่า 108,183 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 21 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีมูลค่า 509,981 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในปี 2558 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2558 มีรายได้จากการขาย 178,988 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากปีก่อน เป็นผลกระทบจากภาวะตลาดภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า มีกำไรสำหรับงวด 10,250 ล้านบาท ลดลง
ร้อยละ 22 จากปีก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่ลดลงและค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น
เอสซีจี เคมิคอลส์ ในปี 2558 มีรายได้จากการขาย 200,433 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19
จากปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลงตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง มีกำไรสำหรับงวด 28,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 129 จากปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาที่ดีขึ้น
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในปี 2558 มีรายได้จากการขาย 70,907 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10
จากปีก่อน จากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของทั้งสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ
มีกำไรสำหรับงวด 3,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.4 จากปีก่อน จากการรับรู้กำไรในรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำจากการขายหุ้นบริษัท ไทยบริติช ซีเคียวริตี้พริ้นติ้ง จำกัด (มหาชน) และจาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้น
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “ความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนของเอสซีจี ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ สามารถผลิตสินค้าเพื่อรองรับความต้องการของตลาด โดยโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศอินโดนีเซียเริ่มผลิตสินค้าออกสู่ตลาดในเดือนพฤศจิกายน ปี 2558 ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมา และสปป.ลาว คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงกลางปี 2559 และ 2560 ตามลำดับ ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวของตลาดและรองรับความต้องการของลูกค้าในอาเซียน ทั้งนี้ เอสซีจี มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของอาเซียน โดยในปี 2559 คาดว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การค้าในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของภูมิภาค”
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2558 จะชะลอตัวบ้าง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน แต่คาดการณ์ว่าในปี 2559 เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากโครงการต่างๆ ของภาครัฐภายใต้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะช่วยให้เกิดการบริโภคและขับเคลื่อนการ ลงทุนต่อเนื่องในประเทศ ทั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาประเทศ
เอสซีจี ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยในปี 2558 เอสซีจีใช้งบประมาณการวิจัยและพัฒนาไปกว่า 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของยอดขายรวม และในปีนี้ ได้เพิ่มงบวิจัยและพัฒนาขึ้นอีกเป็นมากกว่าร้อยละ 1 ของยอดขายรวม สำหรับยอดขายสินค้า HVA ในปี 2558 คิดเป็น 161,851 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 37 ของยอดขายรวม
คณะกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2558 ในอัตราหุ้นละ 16.00 บาท รวมเป็นเงิน 19,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 7.50 บาท เป็นเงิน 9,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2558 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท รวมเป็นเงิน 10,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าว ให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2559 และปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิรับเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2559 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2559) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2559 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี