ธุรกิจเอเยนซี่ทุกวันนี้เหมือนเล่นเกมหาผู้รอดชีวิต การได้มาซึ่งลูกค้าถือเป็นรางวัลแห่งการฝ่าฟัน ในขณะที่ผู้บริโภคก็เปลี่ยนเทรนด์กันไวจนตามไม่ทัน ความท้าทายกว่าเดิมของวงการโฆษณาจึงเกิดขึ้น ผู้รอดชีวิตคือผู้ที่สามารถปลดปล่อยความสามารถในตัวคนของเราได้มากที่สุด สร้างความแตกต่างจากการบริหารงานแบบเดิมๆ
เอเยนซี่จำนวนมากที่มีวิธีการบริหารงานแบบปิดกั้นการสร้างผลงาน และการเติบโตของพนักงาน แทนที่พวกเขาจะได้รับอิสระและสมาธิ กลับถูกรุมด้วยการรบกวนและการเปลี่ยนบริบททั้งจากสลับสมองจากแอคเคาท์หนึ่งไปยังแอคเคาท์หนึ่ง, การประชุม และสเตตัสเช็คอิน
ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าการใช้ความสามารถอย่างสิ้นเปลือง เห็นได้ชัดจากความจริงที่ว่า “การทำงานที่แท้จริงเริ่มหลัง 6 โมงเย็นเสมอ” นั่นทำให้การพัฒนาความสามารถเกิดขึ้นได้ช้าลงไปอีก ผลวิจัยรายงานว่าความใจลอยและการทำงานหลายๆ อย่าพร้อมกันนั้นชะลอการพัฒนาของกิจกรรมที่ต้องใช้ความเข้าใจสูง ความยุงเหยิงเหล่านี้คือสิ่งที่ยากที่สุดของคนทำงานรุ่นใหม่ๆ ผู้เป็นกำลังหลักของเอเยนซี่และรับหน้าที่หนักที่สุดในการยกระดับความสามารถของบริษัท พวกเขาเป็นตัวแทนของอนาคตของวงการที่ต้องทำงานอย่างหนักแต่กลับเรียนรู้ได้ช้าเพราะปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
พิจารณาจาผลสำรวจของ Campaign US ในปี 2015 70% ของชาวเอเยนซี่ประเมินบริษัทของพวกเขาน้อยกว่าความพอใจที่ต้องการ โดยเฉพาะกลุ่ม junior ที่ดูเหมือนจะยอมรับว่าปัญหาหลักอย่างหนึ่งมาจากการบริหารจัดการ 70% ของคนที่มาจากเอเยนซี่ระดับต่ำยอมรับว่าพวกเขากำลังคิดที่จะลาออก ถ้าถามว่าออกแล้วจะไปไหน จำนวนมากที่ตอบว่าอยากไปลองกับธุรกิจใหม่ๆ ที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการบริหารงานและแก้ปัญหาไปด้วยกันในทุกวัน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าเอเยนซี่ทำไม่ได้ แต่มีน้อยมากที่ทำ ส่วนใหญ่เป็นแค่สิ่งที่คาดหวังว่าจะทำ แต่ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้นจริง
เอเยนซี่หนึ่งเล่าให้เราฟังว่าพวกเขาลองวิธีที่เรียกว่า “Boot – camp” คือให้พนักงานจำนวน 20 คน เข้าไปกระจุกกันอยู่ในคอนโดหนึ่งเป็นเวลา 2 สัปดาห์เพื่อทำงานให้กับแอคเคาท์หนึ่งแอคเคาท์เดียว โดยปราศจากอีเมล์, งานโปรเจคอื่น, การรบกวน และการบริหารจัดการ เขาพบว่างานที่ออกมามีค่ามากพอๆ กับงานที่ใช้เวลาทำ 2 ปี แต่พวกเขาทำมันภายในเวลาแค่ 2 สัปดาห์
ทุกวันนี้ความสามารถเป็นสิ่งที่เกินกว่าเอเยนซี่จะสามารถบริหารจัดการกับมันได้ เอเยนซีที่จะสามารถรอดชีวิตและเจริญรุ่งเรืองในธุรกิจต่อไปต้องสนใจ 3 เรื่องนี้ให้มากขึ้น
1. มี Manager ให้น้อยที่สุด
Manager เป็นตำแหน่งที่ใช้เงินมาก และการเลื่อนตำแหน่งให้คนขึ้นไปเป็น Manager ก็ยังเป็นการลดความสามารถของทีม เอเยนซี่ที่มี Manager 1 คนต่อลูกทีม 5 คนขึ้นไปเป็นจำนวนกำลังดีที่จะให้พนักงานได้มีโอกาสปลดปล่อยไอเดียและพัฒนาศักยภาพอย่างรวดเร็ว
2. ลดกิจกรรมที่เกี่ยวกับการบริหารลง
ระดับของการมีส่วนร่วมกับการบริหารองค์กรสวนทางกับคุณภาพของการผลิตงานความคิดสร้างสรรค์ จริงๆ แล้วแค่ให้ข้อมูลที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้ และให้อิสระมากพอก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะบริหารกันเองในทีม นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จาก Boot camp ยิ่งห่างไกลงานบริหารจัดการมากเท่าไหร่ งานสร้างสรรค์ก็เกิดขึ้นได้ไวขึ้นเท่านั้น
3. จัดสรรค์เวลา
การให้พนักงานคนหนึ่งไม่ถือแอคเคาท์มากเกินไปช่วยให้พวกเขาสร้างผลงานที่สุดยอดออกมาได้ ช่วยแบ่งเบาการสลับสมองไปมาของพวกเขาได้ เพราะความจริงแล้วกลุ่มคนครีเอทีฟเป็นพวกใจลอย หลุดง่าย และวอกแวก เพียงไม่กี่วินาทีของการถูกรบกวนจากเรื่องหนึ่งก็ทำให้พวกเขาหลุดจากเรื่องที่กำลังโฟกัส และจะให้กลับมาอีกทีอาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมง
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่แค่เพียงใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์กับมันแต่ต้องทำทุกวัน เพราะพวกเขาเหล่านี้จะเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดความสามารถเพราะเขาจะทำงานกับทีมด้วยแนวคิดของความคิดสร้างสรรค์ การสร้างงาน และจริยธรรม และการทำงานร่วมกันบนจุดมุ่งหมายเดียวกันแบบนี้สามารถสร้างงานที่มีคุณภาพมากกว่าการทำงานแบบเป็นลำดับขั้นถึง 50%
ถึงเวลาที่บรรดาผู้นำต้องปรับแนวคิดครั้งใหญ่ ว่าจริงๆ แล้วเรากำลังอยู่ในธุรกิจของการบริหารคนอย่างแท้จริง และการให้คนเก่งได้ปล่อยความสามารถของพวกเขาได้เต็มที่เป็นข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งในการแข่งขันบนธุรกิจนี้
Photo: NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
แปลและเรียบเรียงโดย Prim Meow Meow