บริษัท เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ โอเรียนทอล พริ้นเซส โดย บริษัท โอ. พี. เนเชอรัล โพรดักส์ จำกัด ห่วงใยและใส่ใจสวัสดิภาพสตรี ร่วมพัฒนา “ลิป เรสคิว” (Lip Rescue) ลิปสติกที่ได้รับการออกแบบนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ให้มีลักษณะเป็นนกหวีด ช่วยให้สาวๆ ปกป้องตนเองจากภัยและอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกที่ทุกเวลา โดย “ลิป เรสคิว” เป็นผลงานการสร้างสรรค์ล่าสุดภายใต้โครงการพัฒนานวัตกรรมร่วมกันระหว่าง เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย และบริษัท โอ.พี.เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องสำอาง โอเรียนทอล พริ้นเซส
นางสาวปรัตถจริยา ชลายนเดชะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย ร่วมงานกับ โอเรียนทอล พริ้นเซส มาเป็นระยะเวลายาวนานในฐานะที่ปรึกษาด้านการสื่อสารการตลาด โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ทำงานร่วมกันในรูปแบบพันธมิตรและได้สร้างสรรค์แคมเปญและกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดที่ช่วยตอบโจทย์และความต้องการของผู้บริโภคมาแล้วมากมาย อาทิ แคมเปญ ‘Secrets’ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค อีกทั้งยังสามารถคว้ารางวัล Gold ในสาขา Branded Entertainment Webisodes/Online Content จากเวที London International Advertising Awards ในปี 2014 ที่ผ่านมา โดยในปีนี้ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน และ โอเรียนทอล พริ้นเซส ยังคงร่วมมือและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในการคิดค้นและสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ โดยหยิบยกความเป็นตัวตนของแบรนด์ โอเรียนทอล พริ้นเซส ที่เข้าใจถึงความเป็นตัวตนรวมถึงห่วงใยและใส่ใจสวัสดิภาพของสตรี มาต่อยอดศึกษาควบคู่กับสถานการณ์และปัญหาในปัจจุบัน ก่อให้เกิดโครงการ ‘ลิป เรสคิว’ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวอย่างร่วมกันล่าสุดระหว่าง เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน และ โอเรียนทอล พริ้นเซส”
“โดยที่มาของการพัฒนานวัตกรรม ‘ลิป เรสคิว’ นี้ เกิดจากการนำประเด็นเกี่ยวกับสถิติอาชญากรรมและความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศไทย ซึ่งพบว่าผู้หญิงที่ถูกกระทำรุนแรงถึงร้อยละ 941 คือเหยื่อของคดีอาชญากรรมทางเพศและร่างกาย โดยสาเหตุหนึ่งที่พบคือการขาดความระมัดระวังต่อบุคคลและสถานการณ์รอบตัว ทั้งนี้ อาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในและนอกบ้าน และยังส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน จึงได้จับมือกับ โอเรียนทอล พริ้นเซส สานต่อความห่วงใยและใส่ใจในสวัสดิภาพของสตรี ร่วมสร้างสรรค์อุปกรณ์ที่ผู้หญิงสามารถพกพาไปด้วยได้ทุกที่เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา”
นายสาธิต จันทร์ทวีวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ บริษัท เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราได้ทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มผู้หญิงวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 25 – 34 ปี โดยพบว่า ‘ลิปสติก’ เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนพกติดตัวเป็นประจำทุกวัน และเรายังได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมโดยพบว่า เมื่อเกิดสถานการณ์คับขัน เสียงที่แหลมและดัง มักทำให้ผู้ก่ออาชญากรรมตกใจวิ่งหนีไปและยังสามารถใช้เรียกขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่อยู่ในบริเวณโดยรอบได้ ฝ่ายสร้างสรรค์ของ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน จึงนำข้อมูลทั้งสองมาหาจุดร่วมเพื่อต่อยอดและพัฒนาร่วมกับ โอเรียนทอล พริ้นเซส เกิดเป็นนวัตกรรม ‘ลิป เรสคิว’ ซึ่งเป็นการดัดแปลงปลอกลิปสติกของ โอเรียนทอล พริ้นเซส เข้ากับฟังก์ชั่นการใช้งานของนกหวีด ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์ด้านความสวยงามที่ช่วยให้ผู้หญิงแต่งเติมความงามให้กับใบหน้าของตนแล้ว ยังมีประโยชน์ในการร้องขอความช่วยเหลือและปกป้องตัวเองจากสถานการณ์ที่คับขันได้อีกด้วย”
นางอภัยพร ศรีสุข ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โอ.พี. เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่า “โอเรียนทอล พริ้นเซส เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาติ และเป็นแบรนด์ที่ยึดมั่นในการเข้าใจถึงตัวตนและความต้องการที่แตกต่างกันของผู้หญิง พร้อมอยู่เคียงข้างผู้หญิงในทุกสถานการณ์ ดังนั้น เราจึงมีความห่วงใยและใส่ใจในสวัสดิภาพและอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงตระหนักถึงภัยใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น เราจึงร่วมมือกับ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย พัฒนา ‘ลิป เรสคิว’ ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นลิปสติกที่มอบทั้งความสวยงามและช่วยลดความเสี่ยงจากภัยรอบตัวให้กับผู้หญิง ผ่านการดัดแปลงบรรจุภัณฑ์ของลิปสติกรุ่น Beneficial Intense Creamy Lipstick ที่ผสมผสานสารสกัดแห่งการบำรุงจากธรรมชาติ และมีเนื้อครีมแวววาว ติดทนนาน ให้มีคุณสมบัติเป็นนกหวีดที่บริเวณปลอกชั้นนอก เพื่อเป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยเหลือและลดความเสี่ยงต่ออันตรายในยามคับขันให้กับผู้หญิงได้ นอกจากนี้ เรายังเลือกใช้สี Raspberry ที่มีโทนสีแดง เพื่อสื่อถึงการเตือนภัย พร้อมกระตุ้นและสร้างความตื่นตัวให้ผู้หญิงระแวดระวังภัยรอบตัวและอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และที่สำคัญ เราอยากให้สังคมได้ตระหนักถึงภัยความรุนแรงและอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นกับผู้หญิง เพื่อเป็นการรณรงค์และหาทางแก้ไขร่วมกันอีกด้วย”