วิกฤติเริ่มก่อเค้าลางเมื่อ User รู้สึกไม่สนิทกับ Facebook เหมือนที่เคย พวกเขาเล่าเรื่องของตัวเองน้อยลง โพสต์สเตตัสน้อยลง ลงรูปน้อยลง การใช้เวลาไปกับ Facebook ส่วนใหญ่ไปเพื่อการเสพคอนเทนท์จากเพจใหญ่ๆ หรือจากแบรนด์ กดไลค์และแชร์คอนเทนท์ที่พวกเขาชอบหรือสนใจ มากกว่าการสร้างคอนเทนท์ของตัวเองขึ้นมา ซึ่งนั่นเหมือนจะผิดวัตถุประสงค์จากตอนแรกที่ Facebook ก่อตัวขึ้น
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เริ่มรู้สึกว่า Facebook ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ วันๆ แค่เลื่อนนิ้วไปบน News Feed ด้วยความเคยชิน กดไลค์บางโพสต์ แชร์บางอย่าง แต่ไม่รู้จะเขียนอะไรหรือไม่รู้สึกอยากสร้างคอนเทนท์ของตัวเองลงเฟซบุ๊คมาซักระยะแล้ว ถ้าใช่.. คุณไม่ใช่คนเดียวที่มีความรู้สึกแบบนั้น จากข้อมูลที่เราได้รับเฟซบุ๊กเผชิญกับวิกฤตินี้มาหลายเดือนแล้ว ตามสถิติพบว่า User โพสต์คอนเทนท์ของตัวเองลงบน Facebook ส่วนตัวน้อยลงถึง 21% เมื่อเทียบจากปี 2014 – 2015 และสถิติการแชร์ก็น้อยลง 5.5% Facebook พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยหลายวิธีการเพื่อเพิ่มอัตราการแชร์ให้มากขึ้น เช่น เปลี่ยน Algorithm ให้โพสต์จาก User ปกติมีความสำคัญกว่าแบรนด์คอนเทนท์ หรือคอนเทนท์จากเพจต่างๆ ไปจนถึงการปล่อยฟังก์ชั่น Live Stream
นอกจากนี้ Facebook ยังพยายามผลักดันให้มีการสร้างคอนเทนท์ที่มีคุณภาพจากบริษัทผลิตสื่อและเซเลบทั้งหลาย เพื่อให้คอนเทนท์เหล่านี้กุมพื้นที่บนเฟซบุ๊กให้มากที่สุด เพื่อให้แบรนด์จ่ายเงินเพื่อลงโฆษณาให้สูงขึ้นหากอยากให้คอนเทนท์ของแบรนด์แย่งชิงพื้นที่จากคอนเทนท์เหล่านี้ได้
แต่กลยุทธ์นี้เหมือนจะสวนทางกับสิ่งที่ Facebook ต้องการจริงๆ เพราะเหมือนว่ายิ่งมีการแข่งขันแย่งชิงพื้นที่บนหน้าฟีดมากเท่าไหร่ User ทั่วไปยิ่งรู้สึกไม่อยากโพสต์คอนเทนท์ส่วนตัวลงบน Facebook ของพวกเขา เราสามารถสังเกตได้จากตอนนี้โพสต์ที่เราเห็นบ่อยๆ บน News Feed ไม่ใช่จากเพื่อนที่เราสนใจ แต่กลับเป็นคนที่โพสต์บ่อยที่สุด ซึ่งเราได้ข้อมูลมาว่าตอนนี้ ภายในหนึ่งสัปดาห์ 60% ของผู้ใช้งานแชร์คอนเทนท์ที่ไม่ใช่คอนเทนท์ส่วนตัว ส่วนอีก 39% โพสต์คอนเทนท์ส่วนตัวเฉลี่ยไม่เกิน 5 คอนเทนท์ต่อสัปดาห์
ผู้เขียนบทความนี้เป็นคนหนึ่งที่เคยถูกแฮค Facebook และรู้สึกผิดหวังจริงจังกับความไม่ปลอดภัยที่ได้รับหลังจากเขาทุ่มเทเวลากับการสร้างคอนเทนท์อันมีค่ามากมายในระยะเวลาที่ยาวนานจนเกิดเป็นความผูกพันธ์ เชื่อใจ รู้สึกเป็นเจ้าของ แต่แฮคเกอร์กลับเข้าถึงมันได้อย่างง่ายดาย เขารู้สึกโกรธในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็รู้สึกว่าถ้า Facebook ของเขาจะจากไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน สุดท้ายเขาก็แค่ไม่ต้องเล่นมันอีก ซึ่งเขารู้สึกดีถ้ามันจะเป็นแบบนั้น และยังคงรู้สึกแม้ว่าจะได้แอคเคาท์กลับคืนมาแล้วก็ตาม
แต่หลังจากเขาได้แอคเคาท์คืน หลังจากล็อกอินเข้าไปเข้าพบว่าหน้า News Feed ของเขาเหมือนมีแต่ขยะ.. มันเต็มไปด้วยคอนเทนท์มากมายจากเพจที่เขาไปกดไลค์ไว้นานนมจนลืมมันไปแล้ว และโพสต์อัพเดตสเตตัสจากเพื่อนที่เขาแอดอย่างไม่ตั้งใจตอนโดนแฮค เขาต้องใช้เวลาอย่างมากมายในการพยายามปรับให้ Facebook ของเขารู้จักและเข้าใจความต้องการของเขาอีกครั้งว่าเขาชอบอะไร สนใจอะไร และอยากเห็นโพสต์แบบไหน และยังต้องใช้เวลาในการคิดว่าจะโพสต์สเตตัสอะไรดี
เราจึงเห็นได้ว่า Facebook ไม่สนใจว่ามีข้อมูลอะไรบ้างถูกแชร์ และใครเป็นคนแชร์ ตราบเท่าที่มันยังดีพอที่จะจับความสนใจจาก User และพวกเขายังแชร์มันต่อ ปัญหาคือ Facebook ไม่สนแม้กระทั่งรูปแบบคอนเทนท์ที่เกิดขึ้น บางช่วงเป็นเวลาของข่าวจากนิวยอร์คไทม์ บางช่วงเป็นเวลาของไอซ์บัคเก็ต และล่าสุดถึงช่วงเวลาของ Live Stream อะไรก็ตามที่สามารถจับความสนใจของ User ได้ นั่นคือจะอยู่ในหน้าฟีดของคุณ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจเป็นเวลาของคางคกจากต่างดาวก็ได้
โชคดีของ Facebook ก็คือมันแพร่หลายไปทั่วและติดได้ง่าย จำนวนฐานผู้ใช้ก็โตวันโตคืนไม่เว้นแม้แต่ในกลุ่ม Millennial ทำให้ไม่กระเทือนในแง่ของธุรกิจ แต่เราเชื่อว่าไม่นาน User จำนวนมากจะเริ่มตั้งคำถามแบบเดียวกัน การลดลงอย่างมหาศาลของการแชร์คอนเทนท์ส่วนตัวเป็นสัญญาณเตือนว่าผู้ใช้งานเริ่มรู้สึกแล้วว่าสิ่งที่พวกเขาได้จาก Facebook มันมีค่าน้อยกว่าสิ่งที่พวกเขาให้
ถ้าคุณยังไม่เกิดคำถามล่ะก็ ลองเริ่มถามตัวเองดูว่าเวลาอันมีค่าที่คุณให้กับ Facebook คุณควรได้อะไรกลับมา?
แปลและเรียบเรียงโดย: Prim Meow Meow