นับเป็นอีกหนึ่งวิวัฒนาการครั้งสำคัญของ “Starbucks” ประเทศไทย ที่ล่าสุดเปิดตัวร้านคอนเซ็ปต์ใหม่ “Starbucks Experience Store” สาขาสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่มีมุม “Coffee Experience Bar” ในสไตล์ “Slow Bar” เปิดให้ลูกค้าได้เห็นและดื่มกาแฟที่ชงด้วยเทคนิคพิเศษ หลังจากเมื่อ 18 ปีที่แล้วที่ “Starbucks” เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ถือเป็นผู้ปฏิวัติวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของคนไทย และตลาดกาแฟ ที่ทำให้คนไทยเปลี่ยนจากที่เคยดื่มกาแฟสำเร็จรูปในบ้าน หรือในที่ทำงาน ไปนั่งดื่มกาแฟตามร้าน และทำให้เกิดร้านกาแฟคั่วบดตามมาอีกมากมาย
Brand Buffet จะพาไปค้นหาเหตุผลว่าทำไม “Starbucks” ประเทศไทย ถึงต้องลงทุนเปิด Starbucks Experience Store และความพิเศษของร้านรูปแบบใหม่นี้มีอะไรกันบ้าง ?!? ตามมากันเลย
1. พัฒนาการการดื่มกาแฟ ในช่วงเวลากว่า 10 ปีมานี้ พฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทย ถูกยกระดับให้มากกว่าแค่การดื่มเพื่อ Refreshment แต่เป็นการดื่มเพื่อสัมผัสกับรสชาติและกลิ่นหอมจากเมล็ดกาแฟ และวิธีการชง โดยที่หลายคนพัฒนาจากการดื่มกาแฟคั่วบดธรรมดา ไปสู่การพิถีพิถันกับรสชาติ และเรียนรู้เรื่องราวของเมล็ดกาแฟ
2. ร้าน Specialty Coffee ดัชนีชี้วัดคนพร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ตามเมืองใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย นิวยอร์ก รวมถึงกรุงเทพฯ เชียงใหม่ เวลานี้เกิดร้านกาแฟประเภท Specialty Coffee มากมาย ซึ่งคอนเซ็ปต์ของร้านประเภทนี้ จะสรรรหาวัตถุดิบเมล็ดกาแฟคุณภาพจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก พร้อมทั้งใช้วิธีการชงแบบคลาสสิก เช่น Coffee Press, Siphon หรือบางร้านมีนวัตกรรมการชงแบบใหม่ ซึ่งหาไม่ได้จากเชนร้านกาแฟที่ส่วนใหญ่ใช้เครื่องชง
3. ยิ่งเร่งรีบ ยิ่งแสวงหาวิถีชีวิตเนิบช้า ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ทุกอย่างในชีวิตประจำวันของคนเมืองดูเร่งรีบไปหมด ทำให้แบรนด์สินค้าและบริการ ต้องตอบโจทย์ด้านความสะดวก และรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่คอนเซ็ปต์ของ “Starbucks” ที่สร้างประสบการณ์การดื่มกาแฟ ในรูปแบบ Speed of Service มาโดยตลอด
แต่ยิ่งชีวิตเร่งรีบมากเพียงใด ลึกๆ ในใจของทุกคน ล้วนแล้วแต่แสวงหาวิถีชีวิตที่เนิบช้า เรียบง่าย อยากใช้เวลาไปกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ทำให้ร้านกาแฟประเภท Specialty Coffee ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนพร้อมที่จะใช้เวลาดื่มด่ำไปกับกาแฟ ที่มี Story ตั้งแต่เมล็ดกาแฟ ไปจนถึงขั้นตอนการชง
4. ผู้นำตลาด ต้องนำเทรนด์ และตามติดเทรนด์ เมื่อแนวโน้มของร้านกาแฟประเภท Slow Bar หรือ Specialty Coffee ขยายตัวมากขึ้น “Starbucks” ในฐานะผู้นำเชนร้านกาแฟระดับโลก นอกจากนำเสนอนวัตกรรมใหม่แล้ว ก็ต้องเกาะติดเทรนด์ พร้อมทั้งพัฒนาเทรนด์นั้นให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และให้มีความยั่งยืน ไม่ใช่กระแสมาแล้วก็ไป โดยใช้ความได้เปรียบที่ตนเองมี ทั้งการเป็นผู้รับซื้อเมล็ดกาแฟรายใหญ่ของโลก ที่เฟ้นหาเมล็ดกาแฟจากทั่วทุกมุมโลก บุคลากร สาขา องค์ความรู้จากสาขา Starbucks ทั่วโลก
ด้วย 4 เหตุผลข้างต้น ทำให้การออกแบบร้าน “Starbucks Experience Store” ต้องยกศิลปะการชงกาแฟ 4 รูปแบบ มาเสริฟให้กับลูกค้า ได้แก่
“Pour Over” เน้นความหอมกรุ่นของกาแฟแต่ละชนิด และให้ความรู้สึกสดชื่นหลังการดื่ม
“Siphon” เป็นวิธีการชงกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยแรงดันไอน้ำและสุญญากาศ เพื่อกาแฟรสชาติกลมกล่อม สดชื่น
“Chemex” เทคนิคการชงกาแฟแบบไฮบริด ที่ผสมผสานการชงแบบ Pour Over เข้ากับการแช่กาแฟ เพื่อให้อรรถรสและกลิ่นกาแฟอันซับซ้อน
“Coffee Press” เทคนิคการชงกาแฟแบบคลาสสิก ด้วยที่กรองกาแฟสแตนเลสที่ช่วยคงน้ำมันจากเมล็ดกาแฟ ให้รสชาติเข้มข้นและหนักแน่น
“พฤติกรรมการดื่มกาแฟ และตลาดกาแฟในไทยพัฒนาไปไกล เรามองว่าทำไมเราไม่พัฒนา Starbucks มีให้ความพิเศษไปอีกขั้น เพราะเราเป็นผู้นำในการหาเมล็ดกาแฟจากทั่วโลก และเครื่องชงเหล่านี้ มีอยู่ใน Starbucks อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าที่ผ่านมา คอนเซ็ปต์นี้อาจจะยังไม่ได้รับการตอบรับดีมาก เพราะลูกค้าที่มาร้าน ต้องการความสะดวก รวดเร็ว แต่ทุกวันนี้ลูกค้ามองหาวิถีชีวิตแบบ Slow Life และกาแฟคุณภาพดี ซึ่งปัจจุบันร้านกาแฟประเภท Specialty Coffee มีมากขึ้น ขณะที่เรามีเมล็ดกาแฟ, Coffee Master และเครื่องชงกาแฟอยู่แล้ว เราจึงพัฒนาโมเดล Starbucks Experience Store ที่มี Slow Bar ตอบโจทย์ลูกค้า” คุณสุมนพินทุ์ โชติกะพุกกณะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ประเทศไทย จำกัด กล่าว
ส่วนเป้าหมายการเปิด “Starbucks Experience Store” ที่มีมุม Coffee Experience Bar ไม่ได้เปิดครบทุก 260 สาขา แต่เลือกเปิดในบางสาขา ที่โลเกชั่นและมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการดื่มกาแฟรูปแบบ Slow Bar โดยปีนี้เปิด 2 แห่ง คือ สยามดิสคัฟเวอรี่ และ เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์