“ขอแนะนำกล้องวงจรปิดครบชุดเพียง 60 บาท แอดไวซ์” เพียงแค่ชื่อคลิปวิดีโอ ก็ชวนให้ผู้พบเห็นสงสัยแล้วว่ากล้องวงจรปิดที่ไหนราคาแค่ 60 บาท และหลังจากที่รับชมจนจบก็พบว่าเป็นไวรัล วิดีโอ จากร้านขายสินค้าไอที ที่แหวกแนว โดนใจผู้ชมในโลกออนไลน์จนสร้างกระแส ได้ยอดวิวทะลุ 3 ล้าน ภายใน1อาทิตย์แรกของแคมเปญ จนจบแคมเปญในเฟสแรกได้ยอดวิวรวมถึง 6.2 ล้านวิว และได้ยอดแชร์ถึง 29,000 ครั้ง ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์
ต่อเนื่องด้วยกระแสที่ตามมากับวิดีโอตัวที่ 2 “เงินก็ซื้อแท็บเล็ตร้านนี้ไม่ได้ แอดไวซ์ Advice IT” ซึ่งสร้างกระแสได้ไม่แพ้งานชิ้นแรก ด้วยยอดวิวทะลุ 5 ล้านวิว ภายใน1สัปดาห์ บวกกับยอดแชร์อีก 120,000 ครั้ง ไม่ใช่แค่นั้น แต่ยังมีเสียงคอมเมนต์ชื่นชมยังตามมาอีกเพียบในโลกออนไลน์ ด้วย Key Message ที่เสนอแนะให้คนในสังคมรู้จักแบ่งปันกันในกลุ่มคนใกล้ตัว และการสอนเยาวชนให้รู้จักใช้เวลาอย่างเหมาะสม จึงกลายเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างไวรัลได้อย่างแท้จริง และนี่คือเบื้องหลังของแคมเปญนี้
เริ่มต้นจากบรีฟ ที่บอกคาแร็กเตอร์ของแบรนด์
คุณณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ โฮลดิ้งส์ กรุ๊ปจำกัด เริ่มต้นด้วยการเล่าให้ฟังว่า
“อย่างแรกเลย เนื่องจากตัวผมเอง เริ่มต้น บริษัท แอดไวซ์ขึ้นมาก็เพื่ออยากจะมอบคำแนะนำที่ดีให้แก่ลูกค้า โดยไม่จำเป็นต้องได้ขายสินค้าที่แพงที่สุด แต่อยากให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ “แอดไวซ์” หลังจากที่เปิดกิจการมาสิบกว่าปี ผมจึงอยากจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น โดยการทำ Corporate Branding ให้เหมือนเป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ของแอดไวซ์ ผมต้องการสื่อสิ่งที่ผมยึดถืออยู่เสมอให้ลูกค้าได้รับรู้ รวมไปถึงพนักงานและคู่ค้าด้วยว่าเจตนารมณ์ที่สร้างแอดไวซ์ขึ้นมาคืออะไร”
ก่อนหน้านี้ แบรนด์ Advice เน้นการสร้างการจดจำให้ผู้บริโภคจำได้ก่อน จึงสื่อสารเรื่องชื่อให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้ ต่อมาก็บ่งบอกว่าเป็นร้านขายสินค้าไอทีที่ผู้บริโภคทุกระดับสามารถจับต้องได้ โดยนำเอาบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซนเตอร์ทำให้เกิดการจดจำได้ง่าย และนี่ถึงเวลาแล้วที่จะยกระดับให้กลายเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภค “รัก” ตามก้อปปี้ทิ้งท้ายของโฆษณา “Advice มีแต่คำแนะนำที่ดีให้คุณ” แทนที่ก้อปปี้ทิ้งท้ายที่เคยติดหูมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นนอกจากจะพูดถึงแบรนด์ตัวเองเป็นหลักแล้ว จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของสังคมที่อยู่รอบตัวผู้บริโภคด้วย
“ผมไม่ได้อยากได้โฆษณาที่เป็นลักษณะขายของอย่างเดียว แต่อยากให้โฆษณาของเราได้ให้อะไรกับสังคม เพราะทุกวันนี้คนเราให้เวลากับเทคโนโลยี จนบ้างครั้งลืมคนที่อยู่รอบๆข้าง และสร้างแรงกระเพื่อมที่ดีให้กับสังคม โฆษณาต้องเข้าใจง่าย และต้องเข้าใจวิถีชีวิตคนไทย” ซีอีโอของ Advice เล่าถึงบรีฟที่มาของงานนี้
เลือก “ชูใจ” เป็นคู่ใจ
โจทย์ดังกล่าว ซึ่งตรงกับแนวคิดของ “ชูใจ” เอเยนซี่แนวใหม่ ที่เน้นสร้างสรรค์งานที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมไปพร้อมๆ กันอยู่แล้ว จึงถูกพัฒนาต่อเพราะไอเดียของแบรนด์กับเอเยนซี่เดินไปในแนวทางเดียวกัน ยิ่งผนวกกับฝีมือของ ต่อ-ธนญชัย ผู้กำกับเบอร์หนึ่งของประเทศจากฟิโนมิน่า ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของปัญหาทางสังคมมาโดยตลอด จึงเกิดเป็นความลงตัวของไอเดีย
คุณป๋อม-กิตติ ไชยพร หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทเล่าถึงเบื้องหลังงานชิ้นนี้แบบไม่มีกั๊กรายละเอียดว่า “พี่ต่อเป็นคนตั้งต้นไอเดียว่า ไหน ๆ ร้านมันก็ชื่อ ADVICE ไอเดียมันก็น่าจะเล่นกับชื่อ ยิ่งธุรกิจแบบนี้ ส่วนใหญ่เขาก็แข่งกันที่ใครมีสินค้าเยอะกว่า ถูกกว่า ทันสมัยกว่า แต่สิ่งหนึ่งที่ร้านอื่นไม่มีคือคำแนะนำที่ดีให้กับลูกค้า คุณเคยเดินเข้าร้านแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเราเป็นควายมั้ย ผมนี่บ่อยเลย เข้าไปแบบงงงง เข้าไปถึงเราก็ยื่นจมูกให้พนักงานมันจูงไปเลย ระหว่างฟังมันอธิบาย เราก็กินหญ้าไปด้วย ปนกับความรู้สึกว่าเรากำลังถูกหลอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะโง่จริง ๆ ฉะนั้น ถ้า ADVICE มันจะแตกต่างจากร้านอื่น มันก็ต้อง ขายมากกว่าของ คือขายคำแนะนำ“
คุณป๋อม-กิตติ ไชยพร
นี่แหละการแคะ แกะอินไซต์ของผู้บริโภคได้ถึงแก่น เพราะเล่นเอาเรื่องจริง ที่ผู้บริโภคทั่วไป ซื้อสินค้าไอที, เทคโนโลยีทั้งหลายแล้วเราจะยืนงง แล้วต้องพึ่งพาคำแนะนำจากพนักงานขาย ดังนั้นถ้าพนักงานเชียร์อะไรเราก็มักจะมีแนวโน้มซื้อตามนั้น แต่สำหรับ Advice แล้ว คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าต่างหาก คือ เป้าหมาย
ไม่ใช่แค่บอกลูกค้า แต่ต้องกระตุ้นพนักงาน
ด้วยโมเดลทางธุรกิจของ Advice ที่มีทั้งร้านค้าที่ดำเนินการเอง และร้านค้าที่เป็นเฟรนไชส์ หนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่สื่อสารสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังต้องการกระตุ้นพนักงานภายที่ใส่ยูนิฟอร์มของ Advice และมีคำว่า Adviceอยู่ที่หน้าอกเสื้อทุกคน ว่าต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดภายในตัวเองก่อน แล้วเลือกสิ่งที่ดีที่สุดนำเสนอกับลูกค้า ถือเป็นกุศโลบาย ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาจากทั้งภายในและภายนอกไปพร้อมๆ กัน
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องชวนสงสัยในตอนแรก ตบท้ายด้วยมุขแบบตีหัวเข้าบ้าน ที่ฟังแล้วต้องอึ้ง ผ่านตัวละครที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของคนระดับแมส ผู้ชมเข้าถึงได้ง่าย และด้วยแง่คิดที่ทิ้งท้ายเอาไว้ จนทำให้ไม่ใช่แค่ดูแล้วชอบ แต่ชอบมากถึงขนาดแชร์ต่อ แล้วเกิดเป็นไวรัลในที่สุด ท่ามกลางกระแสไวรัลทั้งที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจจากแบรนด์สินค้า และความไม่ตั้งใจจากข่าวสารที่หลั่งไหลมาในโซเชี่ยลมีเดีย นักการตลาดเผชิญกับความท้าทายที่อยากจะทำให้แคมเปญเป็นที่จดจำและชื่นชอบ ผลงานชิ้นนี้เป็นตัวอย่างของไวรัลวิดีโอ ที่ก่อให้เกิดกระแสแบบ Organic และสร้างสรรค์ผลลัพธ์ในเชิงบวกกับแบรนด์
จากกระแสตอบรับที่ดี นำไปสู่ยอดขาย