ความเคลื่อนไหวของ “Starbucks” เวลานี้ ให้ความสำคัญกับการ “ยกระดับแบรนด์และประสบการณ์ของลูกค้า” ไปสู่ความเป็นพรีเมียมมากขึ้น ภายใต้นิยามของความเป็น “Artisan” คือ ช่างฝีมือที่พิถีพิถันทุกขั้นตอน โดยมีทั้งการใช้กระบวนการทำแบบดั้งเดิม และการนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ ครอบคลุมทั้งกลุ่มเครื่องดื่มกาแฟที่ Starbucks เน้นความเป็น “Artisan Roaster” และ กลุ่มอาหาร
สำหรับสินค้ากลุ่มอาหาร “Starbucks” ล่าสุดได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ “Princi” ร้านเบเกอรี่และพิซซ่าโฮมเมดจากอิตาลี ก่อตั้งขึ้นในปี 1986 โดย Rocco Princi ผู้มี Passion อยากนำเสนอเบเกอรี่และอาหารที่ทำขึ้นด้วยสไตล์อิตาเลี่ยนดั้งเดิมไปสู่ลูกค้า จนทุกวันนี้เป็นร้านที่ลูกค้าให้การยอมรับในฐานะเป็น Artisan Bakery – Pizza เพราะเน้นวัตถุดิบคุณภาพดี สูตรและวิธีการอบยังคงต้นตำรับดั้งเดิมของครอบครัวที่สืบทอดกันมา และปัจจุบันมีสาขาทั้งในมิลาน ประเทศอิตาลี และในลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ที่สำคัญ ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของ “Starbucks” ที่จะสร้างครัวเบเกอรี่ Princi ภายในร้าน เพื่ออบเบเกอรี่สดใหม่ทุกวันจากเตา แต่ประสบการณ์พิเศษอย่างนี้ จะมีให้บริการเฉพาะที่ “Starbucks Reserve Roastery and Tasting Rooms” สาขาใหม่ที่เซียงไฮ้ ซึ่งจะสร้างเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2017 และที่นิวยอร์ก ในปี 2018
ทั้งนี้รูปแบบสาขา “Starbucks Reserve Roastery and Tasting Rooms” เปรียบเสมือนโชว์รูมเปิดให้ผู้บริโภคเข้าไปสัมผัสกับโลกของ Starbucks ได้อย่างเต็มที่ในทุกกระบวนการตั้งแต่การคั่วเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงการชงกาแฟรูปแบบต่างๆ โดยเปิดสาขาแรกในปี 2014 ที่เมืองซีแอตเทิ่ล บ้านเกิดของ Starbucks ก่อนจะขยายไปที่เซียงไฮ้ และนิวยอร์ก
การขยับตัวของ “Starbucks” ในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของแบรนด์ใหญ่ที่พยายามค้นหาและสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แตกต่างไปจากตลาด Mainstream ทั่วไปที่เคยอยู่ โดยหนึ่งในวิธีการ คือ ดึงเอาสิ่งที่เป็น Niche Market ไปต่อยอด เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ และยกระดับแบรนด์ให้มีความเป็นพรีเมียม อีกทั้งด้วยแนวทางนี้ ยังส่งผลให้ Niche Market นั้น ขยายวงกว้างออกไป กลายเป็นตลาดใหญ่ขึ้น เข้าถึงกลุ่มคนมากขึ้น
https://www.youtube.com/watch?v=FK1pqU88tNU