เปิดให้บริการเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว สำหรับโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” และกำลังก้าวขึ้นสู่ปีที่ 5 ในปีหน้า…วันนี้ Brand Buffet ชวนมาติดตามเรื่องราวที่ผลักดันให้ “เอเชียทีค” แจ้งเกิด และแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจปี 2559 – 2560 ที่ต้องการเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวจากปัจจุบัน 12 ล้านคนต่อปี เป็น 24 ล้านคนต่อปีภายใน 2 ปีนับจากนี้ และเป้าหมายด้านรายได้ที่ปีนี้ตั้งเป้า 500 ล้านบาท ขณะที่ปี 2560 และปี 2561 เพิ่มเป็น 525 ล้านบาท และ 550 ล้านบาทตามลำดับ
10 ส่วนผสมสำคัญที่ขับเคลื่อน “เอเชียทีค” มีอะไรกันบ้าง มาดูกัน
1. โลเกชั่น ตามสูตรการพัฒนาโครงการค้าปลีกขนาดใหญ่ ทำเลที่ตั้งต้องอยู่บนถนนใหญ่ หรือถนนเส้นหลัก แต่สำหรับ “เอเชียทีค” ฉีกตำราค้าปลีกก็ว่าได้ เพราะตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง เป็นถนนเส้นเล็ก และมีการจราจรหนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ของการเริ่มต้นพัฒนาโครงการ แต่ในอีกด้านก็เป็นทำเลที่ดี เนื่องจากติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งความเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
ประกอบกับที่ดินแห่งนี้ เดิมทีเป็นท่าเรือการค้าและโกดังสินค้าเก่าแก่ของบริษัทอีสต์ เอเชียติก เป็นประตูการค้าสากลระหว่างสยามประเทศและยุโรปในยุครัชกาลที่ 5 จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศ ที่ “เอเชียทีค” นำมาร้อยเรียงเข้ากับการพัฒนาโครงการ ภายใต้แนวคิด “Festival Market & Living Museum” กลายเป็น “จุดเด่น” ของโครงการทันที
2. ไฮไลท์หลัก สร้างขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว อาทิ เอเชียทีค สกาย, คาลิปโซต์ คาบาเร่ต์ โชว์, มวยไทย ไลฟ์, รูปปั้นจูเลียต หุ่นละครเล็กโจหลุยส์ รวมถึงการจัด Iconic Event สำคัญ ได้แก่ เคาท์ดาวน์, สงกรานต์, ลอยกระทง, ฟูลมูน ปาร์ตี้ นอกจากนี้ในปลายปี 2560 จะเปิดตัวเรือใบสามเสา ที่ลงทุน 50 ล้านบาท นำต้นแบบมาจากเรือรบหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 มีขนาดเท่าของจริง เพื่อนำมาจอดเทียบท่าเอเชียทีค พร้อมพัฒนาเป็นร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่ง
3. พันธมิตร และการตลาด ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเส้นทางความสำเร็จของ “เอเชียทีค” นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ส่วนสำคัญมาจาก “พันธมิตร” ทั้งภาครัฐ อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และภาคเอกชน เช่น บริษัททัวร์ สมาคมธุรกิจการค้าในแม่น้ำเจ้าพระยา ธุรกิจสายการบิน ร่วมกันกำหนดแผนการตลาด และจัดกิจกรรมโรดโชว์ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางมาเที่ยวไทย และเอเชียทีค
ขณะที่งบการตลาดในปี 2560 เอเชียทีคเตรียมไว้อยู่ที่ 60 ล้านบาท แต่ถ้ารวมงบประมาณการตลาดจากพันธมิตรด้วยแล้ว จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
4. ร้านค้าผู้เช่า ขณะนี้มีประมาณ 1,500 ร้านค้า ครอบคลุมทั้งร้านแฟชั่น และร้านอาหาร ซึ่งรายได้หลักของ “เอเชียทีค” มาจากค่าเช่า โดยปัจจุบันค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 บาทต่อตารางเมตร มีการปรับค่าเช่าเพิ่มเฉลี่ย 10 – 15% ต่อปี
5. ขยายท่าเรือเป็น 3 ท่า และเพิ่มจำนวนเรือจาก 6 ลำต่อวัน เป็น 12 ลำต่อวัน เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 8,000 คนต่อวัน จากปัจจุบัน 4,000 คนต่อวัน รวมถึงปรับพื้นที่รองรับการจอดของเรือท่องเที่ยว Dinner Cruise
6. เพิ่มความหลากหลายในการช้อปปิ้ง โดยปรับพื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร พัฒนาเป็น Street Fashion Zone บนพื้นที่บริเวณซอย 4 และ ปรับสไตล์การนำเสนอสินค้าในโกดัง 7 และ 8 ให้เป็น Urbano Zone ที่มีทั้งสินค้าไอเดีย สินค้าแฟชั่น เพื่อตอบโจทย์ Gen Y จากทั่วโลกที่เดินทางมาที่นี่
7. เฟส 2 เติมเต็มความครบวงจร บนพื้นที่ขนาด 16 ไร่ งบลงทุน 10,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2561 ประกอบด้วย โรงแรม ระดับ 5 ดาว ขนาด 800 ห้อง, ห้องประชุมสัมมนา ขนาด 3,000 ตารางเมตร, ห้องจัดเลี้ยง และจัดสรรพื้นที่ 10,000 ตารางเมตรเพื่อดำเนินธุรกิจรีเทล ซึ่งเฟส 2 ต้องการให้เป็น One Stop Service ขณะที่เฟสแรกตอบโจทย์ด้านสันทนาการและการช้อปปิ้ง
หลังสร้างเฟส 2 เสร็จ จะทำให้ “เอเชียทีค” ไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจรีเทล แต่เป็นโครงการ “Mixed-use Development” เพราะการจะก้าวสู่การเป็น World-class Destination ได้อย่างแท้จริง “เอเชียทีค” ต้องครบวงจร โดยแต่ละส่วนของโครงการต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้
8. นักท่องเที่ยว ปัจจุบันเอเชียทีคมีปริมาณนักท่องเที่ยว ในช่วงวันธรรมดา (จันทร์ – พฤหัสบดี) 30,000 คนต่อวัน และช่วงวันศุกร์ – เสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดยาว 50,000 คนต่อวัน ขณะที่ช่วงจัดอีเวนท์ใหญ่ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไม่ต่ำกว่า 80,000 – 100,000 คนต่อวัน
ในจำนวนนักท่องเที่ยวที่มา แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวไทย 40% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% โดย 5 ประเทศหลักในโซนเอเชีย ประกอบด้วย ไต้หวัน จีน เกาหลี ฮ่องกง อินโดนีเซีย และตลาดโซนยุโรป ซึ่งอัตราการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติเฉลี่ยที่ 1,500 บาท และ 2,000 บาทตามลำดับ
9. เจาะตลาดนักท่องเที่ยวเดินทางมาเองมากขึ้น (FIT : Free Independent Traveler) เนื่องจากกลุ่มนี้ใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ถึง 3 เท่า อย่างนักท่องเที่ยวจีนที่มาเอเชียทีค 50% เป็นกลุ่ม FIT (อายุเฉลี่ย 27 – 42 ปี) และ 50% เป็นกรุ๊ปทัวร์ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2560 สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนกลุ่ม FIT จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ขณะที่กรุ๊ปทัวร์ ลดสัดส่วนอยู่ที่ 40%
10. กำหนดยุทธศาสตร์ “X-ray Planning” นำข้อมูลและสถิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย พฤติกรรมลูกค้าที่มาเดินในโครงการ รวมไปถึงความรู้สึกของคนที่มาโครงการ มาศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อจะได้รู้ Insight ของคนที่มา นำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ได้ดียิ่งขึ้น อันจะทำให้บรรลุเป้าหมายเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวเป็น 24 ล้านคนต่อปี