เคยสังเกตกันไหมว่า ? เวลาเราเข้าไปกินอาหารตามร้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชนร้านอาหาร หรือแม้แต่ร้านอาหารทั่วไป รวมถึงสตรีทฟู้ด เครื่องดื่มที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมสั่งมากินคู่กับมื้ออาหารนั้นๆ หนีไม่พ้น “โคล่า” ยิ่งกินคู่กับอาหารรสจัด กับโคล่าเย็นๆ ซ่าๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าอาหารจานนั้น หรือมื้อนั้นอร่อยมากขึ้น
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้บริโภคถูกสร้างพฤติกรรมให้คุ้ยเคยกับการดื่มโคล่าคู่กับมื้ออาหารมานาน เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์น้ำอัดลม ทั้ง “เป๊ปซี่” “โค้ก” รวมถึง “เอส” ใช้ในการขยายโอกาสการดื่ม นอกเหนือจากการดื่มระหว่างวัน เพื่อสร้างความสดชื่น
แน่นอนว่าการสร้างโอกาสการดื่ม ให้เข้าถึงทุกช่วงเวลาของวัน ต้องมาพร้อมกับ “ระบบจัดจำหน่าย” ที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถกระจายเข้าถึงช่องทางขาย ครอบคลุมทั้งค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าดั้งเดิม และช่องทางร้านอาหาร ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ Pack Size ที่แตกต่างกัน เจาะเข้าไปตามแต่ละช่องทาง
ในประเทศไทย “ช่องทางร้านอาหาร” ประเภทร้านอาหารทั่วไป รวมไปถึงสตรีทฟู้ด เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่ง “กสิกรไทย” ได้ทำสำรวจมูลค่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ปี 2559 พบว่า ร้านอาหารทั่วไปมีมูลค่า 268,000 – 269,000 ล้านบาท สูงกว่าเชนร้านอาหารที่มีมูลค่า 114,000 – 116,000 ล้านบาท
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบรรดาแบรนด์น้ำอัดลมถึงต้องใช้กลยุทธ์ Trade Promotion เพื่อช่วงชิงช่องทางร้านอาหารทั่วไป สตรีทฟู้ด เพื่อล็อคช่องทางร้านค้าเหล่านี้ให้มากที่สุด ขณะเดียวกันจัดแคมเปญดื่มโคล่าคู่กับมื้ออาหาร เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกสั่งเครื่องดื่มโคล่ามาดื่มระหว่างมื้ออาหาร และเป็นการสร้าง Brand Engagement ที่ทำให้ผู้บริโภคจดจำ นำไปสู่การสร้างพฤติกรรมและความคุ้นชินกับการสั่งโคล่ามาดื่มคู่กับอาหารในครั้งต่อๆ ไป
อย่างล่าสุด “เป๊ปซี่” เปิดตัวสองพรีเซนเตอร์ใหม่ “เจมส์ มาร์” และ “คิมเบอร์ลี” เพื่อโปรโมทฟู้ดแคมเปญ “อร่อยซ่า…มื้อนี้ เป๊ปซี่เลย” หรือ “Pepsi with Food” ต่อยอดจากการจัดแคมเปญในปีที่แล้ว “เป๊ปซี่ ดิชคัฟเวอรี่ ชวนคุณซ่า ท้ามื้ออร่อย” โดยในปีนี้นอกจากทำแคมเปญแล้ว ยังได้จัดฟู้ดอีเวนท์ “เป๊ปซี่อร่อยซ่า…ตามล่าร้านเด็ด” รวบรวมเอา 30 ร้าน ที่การันตีโดย “วงใน” (WONGNAI Users’ Choice 2016) มาไว้ในที่เดียว จัดขึ้นไปเมื่อ 16 – 18 กันยายนที่ผ่านมา
“ตลาดร้านอาหาร สำคัญต่อการทำธุรกิจน้ำอัดลม เพราะในแง่พฤติกรรมผู้บริโภคโดนสร้างมาให้คุ้นเคยกับการรับประทานอาหารคู่กับน้ำดำ ถือเป็น Occasion การดื่มที่มีขนาดใหญ่ นอกเหนือจากการดื่มน้ำอัดลมระหว่างวัน ดังนั้นการจัดแคมเปญ “อร่อยซ่า…มื้อนี้ เป๊ปซี่เลย” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุดเมื่อดื่มคู่กับมื้ออาหารต่อเนื่องตลอด 5 ปีซ้อน
โดยเราได้ผนึกพันธมิตรกับ WONGNAI ทำเป็นรีวิว และประกาศนียบัตรจากเป๊ปซี่และวงในมอบให้กับร้านค้า, FOOD PANDA, LINE MAN เพื่อเจาะเข้าถึงพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ และหลังจากจัดฟู้ดอีเวนท์ในกรุงเทพฯ แล้ว เตรียมจัด Pepsi Truck Caravan ไปตามต่างจังหวัด เจาะไปยังร้านอาหาร และโชว์ห่วย เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมกับเป๊ปซี่” คุณสมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าว
ขณะที่ฝั่ง “โค้ก” แม้เวลานี้กำลังโปรโมทแคมเปญดื่มโค้กช่วงบ่าย เพื่อสร้างความสดชื่นระหว่างวันก็ตาม แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยทำแคมเปญดื่มคู่กับมื้ออาหารอย่าง “โค้ก กินกับอะไรก็อร่อย” หรือ “Coke with Food” พร้อมทั้งจับมือเว็บไซต์ “EDTguide” ทำคอนเทนต์รีวิว “จานเด็ดคู่โค้ก” รวบรวมร้านอาหารโดนใจ แนะนำโดยโค้ก และ EDTguide
“บ้านเราเป็นเมืองร้อน และคนไทยมีการบริโภคเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า มื้อกลางวัน รับประทานขนมขบเคี้ยว หรืออาหารว่างระหว่างวัน และมื้อเย็น ดังนั้นการทำแคมเปญ Coke with Food ร่วมกันระหว่างพาร์ทเนอร์ กับโค้ก ทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าโค้กกินกับอะไรก็อร่อย เป็นการ Remind แบรนด์กับผู้บริโภค และเป็นการสร้างโอกาสการดื่มโค้กร่วมกับมื้ออาหาร และของว่างในช่วงเวลาระหว่างวัน” คุณนันทิวัต ธรรมหทัย ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด เคยให้สัมภาษณ์ถึงแคมเปญ Coke with food
หรือแม้แต่ “เอส” ถึงจะไม่ได้จัดแคมเปญกินคู่กับมื้ออาหาร แต่ “ร้านอาหารทั่วไป และสตรีทฟู้ด” เป็นช่องทางขายสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่งทุกวันนี้ “เอส” ทำ Trade Promotion อย่างหนัก เช่น มอบสิทธิประโยชน์ให้กับร้านค้า อาทิ ทำรายการสะสมคะแนนแลกของรางวัล ตั้งแต่ของชิ้นเล็ก อย่างเสื้อ เก้าอี้ ไปจนถึงร่วมเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเสริมสุขกับร้านค้า
ทั้งยังงัดกลยุทธ์การขาย “Presale” คือ มีเซลล์จากเสริมสุขเข้าไปรับออเดอร์สั่งซื้อจากร้านค้าก่อน ทำให้รู้ยอดการสั่งซื้อและการส่งสินค้าของแต่ละร้านค้าที่แน่นอนและแม่นยำขึ้น โดยเริ่มใช้ระบบนี้ในกรุงเทพฯ และในปี้นี้เตรียมขยายโมเดลการขายนี้ไปยังเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี นครสวรรค์ นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี โดยใช้หน่วยรถมอเตอร์ไซต์เข้าไปรับออเดอร์ตรงจากร้านค้า
Credit Photo (ภาพเปิด) : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand