ว่ากันว่าการดื่ม เป็นหนึ่งในวัฒนธรรม ที่มีมิติทางเศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และศาสนาในแต่ละพื้นที่และยุคสมัยที่แตกต่างกันไป นี่เองที่ทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของแต่ละแหล่งมีเสน่ห์เฉพาะตัวในแบบของตัวเอง และถ้าหากจะพูดถึง Single Malt Scotch Whisky ก็ไม่มีที่ใดในโลกจะขึ้นชื่อเท่า ประเทศสก็อตแลนด์ บทความนี้จะพาผู้อ่านไปดื่มกับบรรยากาศโรงกลั่นวิสกี้ 2 แห่งในเขตไฮแลนด์ แหล่งผลิตมอลต์ วิสกี้สำคัญของสก็อตแลนด์
แบรนด์แรก Old Pulteney จากโรงกลั่น โอลด์ พุลท์นี่ย์ ซึ่งมีอายุยาวนานมากว่า 190 ปี ซึ่งเคยได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จอยู่หลายรางวัล แต่ชัยชนะที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จากงาน World Whiskies Awards 2016 เป็นข้อพิสูจน์สำคัญเพราะเป็นส่วนหนึ่งของรางวัลเครื่องดื่มระดับโลก และมีอิทธิพลต่อวงการนักดื่มวิสกี้ทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2007 โดยมีผู้เข้าร่วมตัดสินทั้งจากนักเขียน, มิกโซโลจิสต์ และผู้เชี่ยวชาญในวงการการดื่มวิสกี้ และถือเป็นครั้งที่สองในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา ที่โรงกลั่นนี้ได้รับการสรรเสริญว่าเป็นที่สุดของโลก
จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ตัวโรงกลั่นโอลด์ พุลท์นี่ย์ได้รางวัลก็คือ ความพิเศษของวิสกี้ที่มีกลิ่นไอของเกลือทะเล โดยได้รับอิทธิพลมาจากลมชายทะเลที่อยู่ล้อมรอบโรงกลั่นในเมือง Wick (วิค) จนได้รับการขนานนามว่า The Maritime Malt (มาริทาม มอลต์)
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นที่สุด ก็ต้องยกให้กับ รุ่น 1989 Vintage ซึ่งถือว่าเป็น “World‘s Best Single Malt Whisky” หรือเรียกว่า สุดยอดซิงเกิ้ล มอลต์ วิสกี้ของโลก ด้วย “รสชาติและกลิ่นของน้ำผึ้งและดอกไม้ ความหอมหวานได้ถูกผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัวระหว่างกลิ่นของถังไม้โอ๊คแทรกด้วยกลิ่นไอของเกลือทะเล” อันเป็นข้อสังเกตหนึ่งของกรรมการที่ได้จากรายงานผลตัดสิน “กลิ่นอายของของควันไม้โอ๊คซึ่งมีรสถั่ว และให้ความหอมเล็กน้อยละเอียดอ่อนที่ติดปลายลิ้น บ่งบอกถึงความสมดุลระหว่างกรรมวิธีการบ่มและสไตล์ของโรงกลั่นได้อย่างดีเลิศ”
ส่วนรุ่น Old Pulteney 21 Years Old รุ่นนี้ได้รับรางวัล World Whisky of the Year ในหนังสือ Whisky Bible 2012 (ที่สุดของคัมภีร์รีวิววิสกี้) ของ Jim Murray (จิม เมอร์เรย์) กูรูด้านวิสกี้ระดับโลก ซึ่งรุ่นนี้ได้รับคะแนนถึง 97.5 จากผลการรีวิวของ จิม เมอร์เรย์ ด้วยรสชาติที่เข้มข้นโดดเด่น แทรกด้วยกลิ่นของแอ็ปเปิ้ลและลูกแพร์ และเพิ่มระดับขึ้นไปอีกด้วยรสชาติที่นุ่มลึกของท็อฟฟี่ผสมกับวานิลลา ซึ่งมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนอย่างลงตัว นับว่าไม่บ่อยครั้งนักที่โรงกลั่นแห่งเดียวจะสามารถคว้ารางวัลอันดับหนึ่งของโลกได้ถึง 2 ครั้ง
anCnoc เป็นอีกแบรนด์ที่น่าสนใจ ด้วยเรื่องราวจากโรงกลั่นเล็กๆ ที่มีอายุยาวนานถึง 122 ปี ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากทีมที่ประกอบด้วยผู้ชาย 6 คนเท่านั้น! พวกเขาถูกเรียกว่า “เดอะ เมออฟ น็อค” (The Men of Knock – Knock เป็นชื่อภูเขาที่ตั้งอยู่หลังโรงกลั่น) ซึ่งแบรนด์ anCnoc ได้ส่ง anCnoc รุ่น 18 ปี เข้าแข่งขัน World Whiskies Awards ในปี 2016 และได้รับชัยชนะ ในประเภท World Best Highland Single Malt ในช่วงอายุ 13-20 ปี
คณะกรรมการผู้ตัดสินได้กล่าวถึง anCnoc รุ่น 18 ปี ว่า “ให้รสชาติและกลิ่นที่ผสมผสานของเค้กผลไม้ที่อบไว้ด้วยไฟที่แรงเล็กน้อยอันส่งผลให้หอมหวลกำลังดี, รสของคัสตาร์ดไข่, ครีมบรูเล่และกลิ่นของถังไม้โอ๊คยุโรป ซึ่งบอกถึงตัวตนของแบรนด์นี้ และมีความลุ่มลึกของรสชาติที่โดดเด่นทั้งความชัดเจน ความหวาน แต่ความร้อนแรง โดยให้กลิ่นอบอวลอย่างยาวนานหลังดื่ม” นับว่าเป็นความภูมิใจของโรงกลั่นเล็กๆ แต่มีอายุยาวนานถึง 122 ปีอย่างมาก
ในประเทศไทยสามารถลิ้มลองรสชาติของ Single Malt Scotch Whisky ที่คว้ารางวัลการันตีระดับโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Old Pulteney และ anCnoc ในรุ่นต่างๆ ได้ที่ร้านบาร์พรีเมี่ยมชั้นนำและโรงแรมชื่อดังมากมาย อาทิ Quaint , Whisgars , The 195 Lounge, Cigar One , The Owl , Pacific Cigars , Plaza Athenee Hotel , Madarin Oriental Hotel , Okura Hotel , W Hotel , Anantara Siam Hotel , Conrard Hotel เป็นต้น