ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2559 กำไรหลักจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ดีขึ้น จากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมี ชี้แนวโน้มความต้องการด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของ เอสซีจีในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 มีรายได้จากการขาย 104,957 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง และจากสินค้าซีเมนต์ที่มีปริมาณและราคาขายลดลง และลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาล มีกำไรสำหรับงวด 14,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจเคมีภัณฑ์ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการตั้งสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี จำนวน 1,800 ล้านบาท แต่ลดลงร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากธุรกิจซิเมนต์มีผลการดำเนินงานที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2559 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 323,829 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการปูนซีเมนต์ของตลาดภายในประเทศชะลอตัว และจากราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลงตามราคาน้ำมันที่ลดลง มีกำไร 43,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจเคมีภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออก 86,821 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 เอสซีจีมีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน และจากการส่งออกไปยังอาเซียน 24,490 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของรายได้รวม ลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน ทั้งนี้ เป็นรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน 13,129 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากการส่งออกไปยังอาเซียน 11,362 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11 ของรายได้รวม ลดลงร้อยละ 9 จากปีก่อน สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2559 มีรายได้จากฐานการผลิต และการส่งออกไปอาเซียน เท่ากับ 74,072 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 จากยอดขายรวม ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย ทั้งนี้ เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 มูลค่า 121,499 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 23 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 มีมูลค่า 528,395 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนของปี 2559 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 มีรายได้จากการขาย 40,970 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน ผลจากทั้งปริมาณและราคาที่ลดลงของตลาดในประเทศ มีกำไรสำหรับงวด 1,680 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 32 จากไตรมาสก่อน ตาม EBITDA ที่ลดลง และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโรงงานใหม่ในต่างประเทศ ใน 9 เดือนแรกของปี 2559 มีรายได้จากการขาย 129,834 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสภาวะตลาดในประเทศที่ยังคงซบเซา กระทบต่อการเติบโตของราคาและปริมาณขาย มีกำไร 7,446 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตาม EBITDA ที่ลดลงและค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น
เอสซีจี เคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 มีรายได้จากการขาย 48,138 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน จากทั้งราคาและปริมาณขายที่ลดลง มีกำไรสำหรับงวด 11,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 74 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีการตั้งสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี จำนวน 1,800 ล้านบาท ใน 9 เดือนแรกของปี 2559 มีรายได้จากการขาย 145,477 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง มีกำไร 32,122 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมที่ดีขึ้นและต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ลดลง
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 มีรายได้จากการขาย 18,449 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 670 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 34 จากไตรมาสก่อน ใน 9 เดือนแรกของปี 2559 มีรายได้จากการขาย 56,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีกำไร 2,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “ธุรกิจเคมีภัณฑ์ดีอย่างต่อเนื่องจากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมี ส่วนตลาดปูนซีเมนต์ภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากปีนี้ฝนมีปริมาณมากกว่าปกติเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ประกอบกับโครงการลงทุนจากภาครัฐอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ อีกทั้งภาคเอกชนยังคงชะลอตัวในการลงทุน ขณะที่ภูมิภาคอาเซียนความต้องการปูนซีเมนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง สำหรับการลงทุนในประเทศอื่นๆ คืบหน้าตามแผน โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมา อยู่ในระหว่างการทดสอบการเดินเครื่องการผลิต และจะมีสินค้าออกสู่ตลาดได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ สำหรับในสปป.ลาวคาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2560
สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2559 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 122,219 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38 ของยอดขายรวม ใกล้เคียงกันกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยใช้งบประมาณงานวิจัยและพัฒนากว่า 3,208 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม โดยยังคงเดินหน้าลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคที่อยู่ในภูมิภาคอาเซียน”
คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้ออกและเสนอหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2559 (SCC20NA) จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.0 โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC16NA จำนวน 25,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 โดยเสนอขายให้กับนักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของเอสซีจีเมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 166,500 ล้านบาท