เวลาที่เราซื้อ หรือกินมันฝรั่งทอดกรอบ คุกกี้ ไอศกรีม น้ำอัดลม น้ำผลไม้ น้ำดื่ม และผลิตภัณฑ์อาหาร – เครื่องดื่มอีกมากมายที่วางขายอยู่บนเชล์ฟตามซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าปลีกขนาดเล็ก คนส่วนใหญ่รู้ว่าอาหาร และเครื่องดื่มที่ถืออยู่ในมือตัวเอง คือแบรนด์อะไร มากกว่าที่จะพลิกดู หรือรู้แบรนด์สินค้านั้นๆ เป็นของบริษัทอะไร
Oxfam ได้สร้าง Infographic เพื่อนำเสนอให้เห็นว่า 10 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าอาหาร และเครื่องดื่มมากมายในหลากหลายประเภท ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก ซึ่งการขยายแบรนด์ และประเภทสินค้า เป็นไปตามกลยุทธ์ Brand Portfolio ของบริษัทใหญ่ ที่ต้องการเข้าไปอยู่ในชีวิต ในทุกโอกาสของผู้คนในสังคมให้มากที่สุด
Kellogg’s
ปี 2558 รายได้ 13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารที่หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เช่น อาหารเช้าซีเรียล Kellogg’s, มันฝรั่ง Pringles
Associated British Foods
ปี 2558 รายได้ 16,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทนี้คนไทยอาจไม่คุ้นเคยกัน แต่ถ้าเอ่ยถึงชื่อแบรนด์ หลายคนต้องร้องอ๋อ ! เพราะเป็นเจ้าของแบรนด์ชา Twinings และแบรนด์เครื่องดื่มมอลต์ Ovaltine โดยในประเทศไทย ดำเนินการภายใต้ “บริษัท เอบี ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Associated British Foods (ABF)
General Mills
ปี 2558 รายได้ 17,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เป็นที่รู้จักกันดีในผลิตภัณฑ์ซีเรียล เช่น แบรนด์ Cheerios, Chex แต่แบรนด์ที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกัน คือ แบรนด์ไอศกรีม Haagen-Dazs ที่เวลานี้บุกหนักตลาดไทย โดยนอกจากเปิดรูปแบบร้านสาขาแล้ว ยังได้ขยายเข้าสู่ช่องทางเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคไทยมากขึ้น
Danone
ปี 2558 รายได้ 24,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจ Dairy Products โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์โยเกิร์ต หนึ่งในนั้นคือ แบรนด์ “Activia” ที่ครั้งหนึ่งเคยเข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อปี 2550 ต่อมาได้ร่วมทุนกับบีเจซี บริษัทในเครือทีซีซี กรุ๊ป ในชื่อบริษัท บีเจซี ดานอน แดรี่ จำกัด จนเมื่อปี 2558 “Danone” ได้ปรับแผนการลงทุนในเอเชีย หันไปรุกตลาดยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานตลาดใหญ่ของ “Danone” บีเจซีจึงได้ซื้อบริษัทร่วมทุนดังกล่าว แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ไทยแดรี่ จำกัด พร้อมทั้งได้สิทธิ์ทำตลาดแบรนด์ Activia ในไทยต่อเป็นเวลา 1 ปี โดยสิ้นสุดเมื่อช่วงต้นปีนี้ที่ผ่านมา และไทยแดรี่ได้ปั้นแบรนด์ “ปาร์ตี้ แดรี่” ขึ้นมาทำตลาดแทน
Mondelez
ปี 2558 รายได้ 29,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เป็นบริษัทชั้นนำด้านขนมและของว่าง มีแบรนด์ระดับโลกที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น คุกกี้โอรีโอ (Oreo), บิสกิตริทซ์ (Ritz) หมากฝรั่งไทรเด้นท์ (Trident), ลูกอมฮอลล์ (Halls) , ช็อกโกแลตทอปเบอโรน (Toblerone), ช็อกโกแลตแคดเบอรี (Cadbury)
Mars
ปี 2558 รายได้ 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รู้จักกันในฐานะเป็นผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์ช็อกโกแลตที่มีชื่อเสียงมายาวนาน เช่น M&M’s, Mars, Snickers และยังมีหมากฝรั่ง Wrigley’s, ผลิตภัณฑ์ข้าวและธัญพืช แบรนด์ Uncle Ben’s (นอกจากธุรกิจอาหารคนแล้ว Mars ยังมีธุรกิจอาหารสัตว์ เช่น Pedigree, Whiskas, Cesar)
Coca-Cola
ปี 2558 รายได้ 44,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แน่นอนว่าทุกคนรู้จักน้ำอัดลมโคคา-โคล่า หรือโค้ก, สไปรท์, แฟนต้า และกลุ่มเครื่องดื่มไม่อัดลม เช่น มินิทเมด, Dasani, Honest Tea
Unilever
ปี 2558 รายได้ 59,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากเป็นรายใหญ่ในธุรกิจเครื่องใช้ส่วนบุคคล (Personal Care) และ เครื่องใช้ในครัวเรือน (Home Care) แล้ว “Unilever” ยังเป็นผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารระดับโลก ที่มีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ เช่น Lipton Tea, Wall’s, Ben & Jerry’s, Knorr, Hellmann’s (ในไทยใช้ชื่อว่า Best Foods)
PepsiCo
ปี 2558 รายได้ 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีกหนึ่งพี่ใหญ่ในวงการธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารของโลก มีทั้งกลุ่มเครื่องดื่ม นำโดยแบรนด์เป๊ปซี่, มิรินด้า, เมาเทนดิว น้ำผลไม้ Tropicana และแบรดน์อื่นๆ ขณะที่กลุ่มขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งเลย์, ซีโตส, ซันไบรท์, โดริโทส เป็นต้น
Nestlé
ปี 2558 รายได้ 87,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อดู Brand Portfolio แล้ว จะเห็นว่าสินค้าเครื่องดื่มและอาหารของ Nestlé อยู่กับผู้บริโภคครอบคลุมทุกวัย ตั้งแต่วัยทารก วัยเด็ก ไปจนถึงผู้ใหญ่ และวัยเกษียณอายุ เช่น อาหารเสริมสำหรับเด็ก Cerelac, Gerber, น้ำดื่ม Nestlé Pure Life, เครื่องดื่มสปาร์คกลิ้ง Perrier, กลุ่มเครื่องดื่มกาแฟ Nescafe, Nespresso, Nescafe Dolce Gusto, เครื่องดื่มช็อกโกแลตไมโล เครื่องดื่มธัญญาหารเนสวิต้า