เพราะว่ายอดขายและส่วนแบ่งการตลาดในภาคใต้มีความสำคัญอย่างยิ่งกับผลประกอบการของ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ดังนั้น เพื่อรองรับการเติบโตทางการตลาดที่ปีนี้เนสท์เล่ จึงต้องเสริมกำลังการผลิต ด้วยการเปิดโรงงานผลิตน้ำดื่มที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เหตุผลที่เนสท์เล่เลือกเปิดโรงงานที่อำเภอ พุนพิน จังหวัดสุราษฏร์ธานี ก็เพราะคุณภาพของของน้ำ รวมทั้งช่วยในเรื่องการขนส่งที่ครอบคลุมผู้บริโภค 10 ล้านคน ในเขต 14 จังหวัดทางภาคใต้ และช่วยให้ประหยัดค่าขนส่งได้ถึง 3,000,000 กิโลเมตรต่อปี หรือคิดเป็น 75 เท่าของเส้นรอบวงของโลกเลยทีเดียว
โรงงานเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ที่จังหวัดสุราฎร์มีพื้นที่ 170,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยโรงงานผลิต คลังสินค้า สำนักงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยผลิตน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ในขนาด 0.33 ลิตร 0.6 ลิตร และ 1.5 ลิตร โรงงานแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นด้วยงบประมาณ 1,800 ล้านบาท สามารถสร้างงานโดยตรงได้ 100 ตำแหน่ง ยังไม่รวมการจัดการขนส่ง และการเก็บรักษาสินค้า ที่จะเกิดขึ้นตามมาในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งโรงงานแห่งนี้ถือว่าเป็นโรงงานแห่งที่ 2 ต่อจากโรงงานที่อยุธยา ซึ่งก่อตั้งขึ้ยตั้งแต่ปี 2535 มูฟเมนท์ครั้งใหญ่ในรอบ 25 ปีของเนสท์เล่ในครั้งนี้ ก็เพราะเทรนด์การบริโภคน้ำดื่มในเอเชียที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ตามที่ คุณมัททิอัส รีห์เล ผู้จัดการระดับภูมิภาคเอเชีย กลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ กล่าวถึงการเติบโตและเทรนด์การบริโภคน้ำดื่มของคนในเอเชียว่า “ชนชั้นกลางมีจำนวนมากขึ้นและคนเหล่านี้มองหา หรือคิดถึงสิ่งที่พวกเขาบริโภค รวมทั้งมีกำลังที่จะซื้อสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้น้ำดื่มบรรจุขวดมีการเติบโตที่ดีขึ้น และแนวโน้มนี้ก็จะขยายตัวมากขึ้น ผู้คนจะมีการศึกษาที่ดีขึ้น”
ในขณะที่ปัจจัยการเลือกซื้อน้ำดื่มในเอเชีย แบ่งเป็น 1. การมีโปรดักท์ในร้านค้า 2. ความเชื่อมโยงของแบรนดืที่มีต่อผู้บริโภค 3. ราคา สำหรับประเทศไทยเรื่องของความเชื่อมั่นที่มีต่อแบรนด์มีผลอย่างมาก ซึ่งหมายรวมถึงความมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้วย
ปัจจุบันมูลค่าตลาดน้ำดื่มอยู่ที่ 34,000 ล้านบาท เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ มีมาร์เก็ตแชร์ อยู่ที่ 16% และเชื่อมั่นว่าปีนี้จะเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตของตลาด