แต่ไหนแต่ไรมา Prime Time เป็นช่วงเวลาของ “ช่อง 3” และ “ช่อง 7” ยึดครองพื้นที่มาโดยตลอด แต่แล้วการเกิดขึ้นของรายการ “The Mask Singer” ของช่องเวิร์คพอยท์ ได้สร้างปรากฏการณ์กระแสพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง โดยสามารถแย่งซีนช่วงเวลา Prime Time ของสองช่องยักษ์ได้
ต้นกำเนิดรายการ The Mask Singer มาจากประเทศเกาหลี และประสบความสำเร็จอย่างสูง จากนั้นประเทศจีนได้มาซื้อลิขสิทธิ์ไปทำ แล้วล่าสุดเป็นไทย ประเทศที่ 3 ที่เวิร์คพอยท์ ซื้อลิขสิทธิ์มาทำ โดยหลังออกอากาศไม่กี่ตอน กลายเป็นรายการดาวรุ่งพุ่งแรง สร้างปรากฏการณ์ทั้งบนจอทีวี และบนออนไลน์
สำหรับจอทีวี สามารถโกยเรตติ้งได้ทั่วประเทศ (อัพเดทล่าสุด 26 มกราคม 2560) โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ แซงหน้าละครของช่อง 3 และ 7 ไปเรียบร้อยแล้ว
– ทั่วประเทศ (กลุ่มผู้ชมอายุ 15 ปีขึ้นไป) อยู่ที่ 8.382
– ในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 11.876
– ในต่างจังหวัด เขตเทศบาล 8.376
– ในต่างจังหวัด นอกเขตเทศบาล 7.380
เช่นเดียวกันบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ออกอากาศผ่าน Facebook Live (ข้อมูล 26 มกราคม 2560) มี 10,055,898 คนที่เข้าถึง / 3,501,046 การรับชมวีดีโอ / 1,208,505 ร่วมแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น และการแชร์
ขณะที่บนช่องทาง YouTube (ข้อมูล 26 มกราคม 2560) ยอดดูโดยรวมอยู่ที่ 653,228
ถึงตรงนี้…มาถอดรหัสกันว่าทำไม “The Mask Singer” ถึงประสบความสำเร็จอย่างสูงในเมืองไทย โดยคุณชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัลทีวี บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เผยว่าความสำเร็จของ The Mask Singer มาจากหลายองค์ประกอบที่ผนึกรวมเข้าด้วยกัน ได้แก่
1. รูปแบบของคอนเทนต์ แปลกใหม่ และเล่นกับ “ความอยากรู้อยากเห็นของคนไทย” ทำให้คนไทยเฝ้าติดตามและลุ้นไปกับทุกตอนที่ออกอากาศว่าภายใต้หน้ากากนั้นๆ จะเป็นศิลปินคนไหน !! ซึ่งเวิร์คพอยท์ ได้เซ็นสัญญาทั้งกับดารานักร้องที่ตกลงมาร่วมรายการ และคนในทีมงาน ห้ามมิให้บอกคนอื่นว่าเป็นใคร
2. ปรับส่วนผสม เพิ่ม “ความตลก” เนื่องจาก The Mask Singer ของเกาหลี เน้นการร้องเพลง และโปรโมทศิลปินทั้งที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว และยังไม่มีชื่อเสียงมากนักให้เป็นที่รู้จัก ขณะที่ของไทย เมื่อนำเข้ามาทำ “เวิร์คพอยท์” รู้ว่าจริตคนไทยชอบความสนุกสนาน ตลก ทีมงานจึงได้เพิ่มดีกรีความตลกให้มากขึ้นจากของต้นฉบับ ทั้งพิธีกร คณะกรรมการ และดารานักร้องที่มาร่วมรายการ
3. “โปรดักชั่น และเครื่องแต่งกาย” ของดารานักร้องอลังการงานสร้าง เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ดึงความสนใจของผู้ชม และทั้ง 3 ประเทศมีความแตกต่างกัน โดยของไทย ทั้งโปรดักชั่นและเครื่องแต่งกายใส่ชุดคลุมหมดทั้งตัว ตามคอนเซ็ปต์ที่ดารานักร้องคนนั้นๆ เลือก ซึ่งมีความอลังการกว่าของเกาหลี ที่ดารานักร้องร่วมรายการ ใส่เพียงหน้ากากเพื่อปิดบังเฉพาะหน้าเท่านั้น ส่วนของจีน มีหน้ากากหลากหลายกว่า และโปรดักชั่นอลังการกว่าของไทย
4.ผสมผสานระหว่างสื่อออฟไลน์ และออนไลน์ คอนเทนต์ของทีวียุคต่อไป จะไม่พึ่งพาเฉพาะออกอากาศบนหน้าจอทีวีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องนำแพลตฟอร์มออนไลน์มาผสมผสานให้ลงตัว สำหรับ The Mask Singer นับเป็นกรณีศึกษารายการทีวีที่สามารถสร้างประสบการณ์การชม ผ่านหน้าจอทีวี และออนไลน์ โดยพฤติกรรมการดูรายการ มีทั้งดูผ่านทีวีอย่างเดียว และกลุ่มที่ดูบนออนไลน์ ผ่าน Facebook Live และ YouTube รวมทั้งกลุ่มที่ดูทั้งทีวีและแพลตฟอร์มออนไลน์พร้อมกัน
ข้อดีของแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้เกิดการพูดคุยถึงคอนเทนต์ ณ ขณะที่ชมได้ทันที ทำให้เกิด Engagement ระหว่างรายการ กับผู้ชม รวมทั้งคอนเทนต์ถูกนำไปพูดถึงบนเว็บบอร์ด ที่เป็น Community ขนาดใหญ่อย่าง Pantip.com ทำให้กระแสถูกโหมกระพือต่อ และผู้ชมรู้สึกสนุกกับการ่วมแสดงความคิดเห็นและทายว่าหน้ากากนั้นๆ เป็นศิลปินคนไหน
จ่อออกอากาศ Season 2 เดือนเม.ย. นี้ ทุกสังกัดพร้อมส่งศิลปินเข้าร่วม
สำหรับ The Mask Singer เป็นรายการประเภท Season ที่ใช้ระยะเวลาออกอากาศ 3 เดือนต่อซีซั่น โดยในเมืองไทย Season แรกจะจบสิ้นเดือนมีนาคมนี้ และหลังจากเห็นผลตอบรับท่วมท้น “เวิร์คพอยท์” ตัดสินใจลุย Season 2 ต่อทันทีในเดือนเมษายนนี้
เหตุผลที่ออกอากาศ Season 2 ทันที เนื่องจากกำลังอยู่ในกระแส และเม็ดเงินโฆษณาที่จะเข้ามา เพราะไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 เป็นช่วงการขายโฆษณา ดังนั้น ถ้ามีรายการดี อยู่ในกระแส คนพูดถึง จะทำให้การขายโฆษณาได้การตอบรับจากบรรดา Advertiser ซึ่งขณะนี้เริ่มมีโฆษณาเข้ามาจองแล้วเกิน 50% โดยอัตราการค่าโฆษณาของ Season 2 อยู่ที่ 350,000 – 400,000 บาท ปรับเพิ่มขึ้นจาก Season แรก ซึ่งอยู่ที่ 100,000 กว่าบาท เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงต้องให้ส่วนลดแก่ลูกค้า
ขณะที่ดาราศิลปินที่จะมาร่วมรายการใน Season 2 ทุกค่ายให้การตอบรับและยินดีให้ศิลปินมาร่วม เพราะหลังจากเห็นการตอบรับของผู้ชม และเรตติ้งรายการใน Season แรก พบว่าศิลปินหลายคนได้กระแส และเป็นที่รู้จักทั้งตัวศิลปิน และผลงาน จึงมองว่าการเปิดโอกาสให้ศิลปินมาร่วมสนุกกับรายการ เป็นช่องทางการโปรโมทได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้จะนำระบบการโหวตผ่าน Google Vote มาใช้ปลาย Season 1 และจะใช้ระบบดังกล่าวตลอดทั้งฤดูกาลการแข่งของ Season 2