จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีสำหรับงานแสดงนวัตกรรมระดับโลก “LG InnoFest” ที่เกาหลีใต้ การจัดงานในแต่ละปี ทำให้ได้เห็น Mega Trend ของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ทั้งในระดับโลก และระดับเอเชียว่ากำลังขยับไปในทิศทางใด ซึ่งแน่นอนว่าในที่สุดแล้วเทรนด์เหล่านี้ ก็จะมาถึงประเทศไทยในไม่ช้า…
ภายในงาน “LG InnoFest 2017” ครั้งนี้เช่นกัน ทำให้ได้เห็นความเคลื่อนไหวของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้านับจากนี้กำลังมุ่งไปสู่ 3 เทรนด์ใหญ่ ดังนี้
Go Premium
เป็นเทรนด์ใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นกับหลายอุตสาหกรรม รวมถึง “ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน” ที่ขยับสู่เซ็กเมนต์พรีเมียมมากขึ้น โดยปัจจัยหลักที่ทำให้มุ่งมาทางนี้ เนื่องจาก “ความเป็นเมือง” (Urbanization) ขยายตัวทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย สะท้อนได้จากข้อมูล World Urbanization Prospect ของ United Nations คาดการณ์ว่าในปี 2050 เอเชีย จะมีประชากรอาศัยในเมือง (Urban Population) ในสัดส่วน 64%
สิ่งที่มาพร้อมกับ “ความเป็นเมือง” คือ ความเจริญด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา เทคโนโลยี ทำให้ผู้บริโภคมีรายได้ดีขึ้น กำลังซื้อสูงขึ้น และโดยธรรมชาติของมนุษย์ต่างแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ มีความต้องการซับซ้อนขึ้น และไม่ว่าเศรษฐกิจระดับประเทศ หรือระดับโลกจะเป็นเช่นไร “เซ็กเมนต์พรีเมียม” ยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะถึงแม้เวลานี้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเซ็กเมนต์พรีเมียมในตลาดโลก ยังมีสัดส่วนเพียงแค่ 2 – 3% แต่อัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7 – 8% ต่อปี ตรงกันข้ามกับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปที่อยู่ในสภาวะ Flat Growth
“LG” เล็งเห็นโอกาสทางการตลาดของเซ็กเมนต์พรีเมียม จึงได้ลงทุนทั้งด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ด้านบุคลากร พร้อมทั้งเปิดตัว Sub-brand ใหม่ ภายใต้ชื่อ “LG SIGNATURE” สำหรับเจาะตลาดนี้ โดยปัจจุบันมี 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ LG SIGNATURE OLED TV เด่นทั้งดีไซน์บางเฉียบ พร้อมด้วยเทคโนโลยีภาพและเสียง, ตู้เย็นอัจฉริยะ รุ่น Smart InstaView Door-in-Door™ และเครื่องซักผ้า
คุณเอียน คิม Vice President, Brand Management and Global Marketing LG Electronics ฉายภาพว่า LG เป็นแบรนด์แห่งนวัตกรรม ผสานเข้ากับ Aesthetic Design ซึ่งนั่นตรงกับพรีเมียมเซ็กเมนต์ เป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อ โดยปีนี้เราคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมสำหรับตอบสนองความต้องการ หรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคกลุ่มนี้
“เอเชียเป็นตลาดที่ LG ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 44% ของรายได้รวม LG ทั่วโลกและแบรนด์ LG มีความแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว นอกจากนี้ด้วยความที่เป็นเอเชียด้วยกันเอง ทำให้บางเทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นในเกาหลีใต้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับประเทศต่างๆ ได้เร็ว ประกอบกับเอเชียเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับการบุกเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มพรีเมียม”
อย่างตลาดพรีเมียมในไทย ถือได้ว่ามีศักยภาพสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้เปิดตัว “LG SIGNATURE” ในไทยเป็นประเทศแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ปีนี้ LG ประเทศไทยตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% และเราวางแผนบุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียม เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศไทย ภาคส่งออก และภาคการท่องเที่ยวมีการเติบโต ขณะเดียวกันคนไทยมีกำลังซื้อสูงขึ้น โดยปัจจุบันรายได้ประชากรไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 16,000 บาทต่อคน ดังนั้นเรามั่นใจว่าการนำ “LG SIGNATURE” เข้ามาทำตลาดเมืองไทย จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยคาดว่าภายในปีแรกที่จำหน่าย สินค้าในกลุ่มนี้จะทำรายได้ 5% ของรายได้รวม LG ประเทศไทย” คุณซอง แจ คิม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
ปีที่แล้ว LG ประเทศไทยเตรียมความพร้อมรุกตลาดพรีเมียมไปบ้างแล้ว ด้วยการเปิด LG Premium Shop 100 สาขาทั้งในศูนย์การค้า และดีลเลอร์ทั่วประเทศ ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้าเปิดเพิ่มอีก 100 สาขา เป็น Experience Store ที่เปิดให้ผู้บริโภคเข้ามาทดลองใช้สินค้าของ LG
Go Smart
อีกหนึ่ง Mega Trend ที่กำลังปรากฏให้เห็นมากขึ้นทั่วโลก คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต (Wi-Fi Connectivity) และพัฒนาการอีกสเตป คือ รองรับเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) อุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกันได้ พร้อมทั้งเรียนรู้พฤติกรรมการอยู่อาศัยของมนุษย์ เพื่อปรับการทำงานของเครื่องให้เข้ากับความต้องการของผู้อยู่อาศัย และสภาพแวดล้อมของบ้าน
ความก้าวล้ำของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลาย (Smart Device) ได้ผลักดันให้ที่อยู่อาศัยกลายเป็น “Smart Home” เช่นเดียวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม กำลังมุ่งไปสู่ “Smart Living”
ในงาน LG InnoFest 2017 ไม่เพียงแต่แนะนำสินค้าตระกูลพรีเมียมเท่านั้น ยังได้เปิดตัวเทคโนโลยี “Hub Robot” ที่จับมือกับ “Amozon” นำระบบ Voice Control “Alexa” มาร่วมพัฒนาเป็นเกตเวย์เชื่อมต่อการทำงานของบ้านอัจฉริยะ ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และสั่งงานผ่านเสียงเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยระบบจะแปรคำสั่งเสียงเพื่อให้เครื่องทำงานตามต้องการอย่างง่ายดายและทันท่วงที เช่น “เปิดเครื่องปรับอากาศ” หรือ “เปลี่ยนอุณหภูมิการอบผ้า” อีกทั้งยังสามารถมอบความเพลิดเพลินให้แก่ผู้ใช้งานผ่านเสียงเพลง ตั้งเวลาสำหรับการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั้งการเตือน หรือการอัพเดทสภาพภูมิอากาศและการจราจรก่อนออกจากบ้าน
รวมทั้งมีฟีเจอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของสมาชิกภายในบ้าน ทั้งออกจากบ้าน กลับเข้ามาที่บ้าน และเข้านอน พร้อมด้วยฟังก์ชั่นจดจำใบหน้าของสมาชิกในครอบครัว โดยสามารถตั้งโปรแกรมในการทักทายแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน และเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ใช้งานด้วย “Mini Hub Robot” ที่สามารถใช้งานในส่วนอื่นๆ ของบ้านได้เช่นกัน มาพร้อมดีไซน์ปราดเปรียว และประสิทธิภาพการใช้งานเทียบเท่ากับเทคโนโลยี Hub Robot
ขณะเดียวกันได้เปิดตัว “ตู้เย็นรุ่น Smart InstaView Door-in-Door™” การคิดค้นรุ่นนี้ได้นำ Consumer Insight มาพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในหลายจุด โดยผลวิจัยของ LG พบว่า 37% ของผู้บริโภค พบอาหารหมดอายุแช่อยู่ในตู้เย็นมานานอย่างน้อย 2 เดือน และ 77% ของผู้บริโภคซื้ออาหารซ้ำกับอาหารที่มีในตู้เย็นอยู่แล้ว เพราะจำไม่ได้ว่าอาหารที่อยู่ในตู้เย็นมีอะไรบ้าง
จากความเข้าใจผู้บริโภค ได้ออกมาเป็นหน้าจอ LCD แบบใสขนาด 29 นิ้ว สามารถบันทึกรายการของในตู้เย็น ตรวจสอบวันหมดอายุ และฟังก์ชั่น Knock-On ที่ทำให้มองเห็นสิ่งของต่างๆ ในตู้เย็นเพียงแค่เคาะที่หน้าจอเบาๆ โดยไม่ต้องเปิดตู้เย็นให้เปลืองพลังงาน
นอกจากนี้ยังทำงานระบบปฏิบัติการ Windows 10 จากไมโครซอฟท์ เพื่อเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นมากมาย เช่น Allrecipes, Pandora และ Netflix พร้อมกล้องเลนส์กว้างพิเศษ ความละเอียด 2.0 เมก้าพิกเซล ซึ่งถ่ายภาพภายในตู้เย็นได้อย่างครบถ้วนทุกจุด และสามารถส่งภาพไปยังสมาร์ท โฟนของผู้ใช้งานเพื่อตรวจสอบจำนวนสิ่งของที่อยู่ในตู้เย็น และความสามารถในการตรวจจับความชื้นและปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม
“สินค้าใหม่ของ LG ในปีนี้ มีระบบ WiFi Connectivity ทุกตัว เป็นสิ่งที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านนี้อย่างมาก ขณะเดียวกันเราลงทุนอย่างจริงจังในการพัฒนา IoT และ Cloud Technology รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ เพื่อร่วมกันพัฒนา IoT Ecosystem ร่วมกัน เพราะเราเชื่อว่าต่อไปนวัตกรรมสินค้าจะไปในทิศทางดังกล่าว โดยเราคาดว่าการใช้งานสินค้าที่มีเทคโนโลยี IoT จะแพร่หลายภายใน 5 ปีจากนี้ เนื่องจากผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยี IoT มากขึ้น” คุณยูจีน ยู ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Cloud Center, LG Electronics กล่าว
สำหรับในเมืองไทย การตอบโจทย์ทิศทาง “Go Smart” ขณะนี้ LG ในไทย เริ่มมีเครื่องใช้ไฟฟ้าบางกลุ่ม เช่น เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศบางรุ่น มีฟังก์ชั่นเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ผ่านแอพพลิเคชั่น Smart ThinQ ด้วยระบบ Wi-Fi ทำให้ผู้บริโภคสะดวกในการควบคุมการใช้งานของเครื่อง
Go Green
ทุกวันนี้ “การประหยัดพลังงาน” (Energy Saving) กลายเป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นหลักของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่ต้องมี และเป็นหนึ่งในปัจจัยการพิจารณาเลือกซื้อของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ซึ่งเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานได้มีประสิทธิภาพ คือ อินเวอร์เตอร์ (Inverter) แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่มีมานานแล้ว แต่ต่อไปจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ และปัจจุบันมีอยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายประเภท ทั้งเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า
ปัจจุบันประเทศที่ตลาดพัฒนาไปไกลแล้ว เช่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา เครื่องใช้ไฟฟ้าระบบอินเวอร์เตอร์ เข้ามา Dominate ตลาดแล้ว ขณะที่ Emerging Market เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบอินเวอร์เตอร์จะเริ่มเข้ามาแทนที่เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปขึ้นเรื่อยๆ เพราะทั้งฝั่งผู้ผลิตหันมาเพิ่มไลน์อัพสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น เมื่อการผลิตมี Economy of Scale มีผลต่อการทำราคาลงมาได้ ทำให้ขยายเข้าสู่ครัวเรือนได้มากขึ้น ส่วนฝั่งผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีดังกล่าว นำไปสู่การตัดสินใจซื้อ
คุณนิพนธ์ วงศ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกาหลีใต้ และอเมริกา สัดส่วนสินค้าอินเวอร์เตอร์ 99% ของตลาดรวมแล้ว ขณะที่ประเทศไทย โดยภาพรวมปัจจุบันสัดส่วนตลาดอินเวอร์เตอร์ อยู่ที่ 30% เช่น เครื่องปรับอากาศ ในปี 2015 ยังมีสัดส่วน 24% แต่ปีที่แล้วขยับเพิ่มขึ้น 6% มาอยู่ที่ 30% จากก่อนหน้านี้เพิ่มปีละ 1 – 2% จากทิศทางดังกล่าว มองว่าปีนี้เครื่องปรับอากาศ ระบบอินเวอร์เตอร์ น่าจะขยับขึ้นไปถึง 40 – 50%
ปีนี้ LG ในไทย เน้นทำตลาดเครื่องปรับอากาศ ระบบอินเวอร์เตอร์ ด้วยการเพิ่มไลน์อัพสินค้า ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ผ่านแอพพลิเคชั่น Smart ThinQ หรือแม้แต่ตู้เย็น ปีที่แล้ว LG ในไทย เปลี่ยนเป็นอินเวอร์เตอร์ทั้งหมด และปีนี้จะเพิ่มไลน์อัพสินค้ากลุ่มตู้เย็น ครอบคลุมทั้ง 2 ประตู, Side by Side และ Multi-Door จากเดิมที่มีแค่ Side by Side และ 2 ประตู
ทั้ง 3 Mega Trends ดังกล่าว กำลังเข้ามาเปลี่ยนโฉมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วโลก รวมทั้งในไทย โดยทั้งตัวแทนจำหน่าย และผู้บริโภคไม่ควรพลาด !!!