Google เพิ่งเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า Google Lens เป็นการนำเอา AI มาใช้กับสภาพแวดล้อมรอบตัวผ่านระบบภาพจากล้อง ในแง่ของการตลาดนี่อาจเป็นช่องทางใหม่ที่คุณจะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายผ่าน Google Lens
Sundar Pichai ซีอีโอ ของ Google พูดถึงเทคโนโลยีนี้ว่า ”Google Lens คือเครื่องมือใหม่ ที่มีความสามารถในการตีความหมายจากภาพ เข้าใจว่าคุณกำลังมองหาอะไรและช่วยให้สิ่งที่คุณกำลังหาอยู่ง่ายขึ้น” ตัวอย่างการใช้งานดังกล่าว เช่น เปิดกล้องแล้วส่องไปที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง Google Lens จะบอกคุณถึงข้อมูลของร้านดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นชื่อร้าน ราคา หรือแม้กระทั่งว่าเพื่อนคนไหนเคยมาเช็คอินที่นี่บ้าง นอกจากนั้น Google Lens ยังเชื่อมกับ Google Assistant ในการให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพโปสเตอร์อีเวนท์ที่สนใจ และให้ Google Assistant เพิ่มเข้าในปฏิทินให้อัตโนมัติ
With Google Lens, your smartphone camera won’t just see what you see, but will also understand what you see to help you take action. #io17 pic.twitter.com/viOmWFjqk1
— Google (@Google) May 17, 2017
และอย่างที่มีคำกล่าวไว้ว่าภาพหนึ่งภาพแทนล้านคำพูด ภาพจึงเป็นตัวกลางที่ดีในการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งาน Ray Dollete, associate director of creative technology จาก Phenomenon เชื่อว่า Google Lens จะมีส่วนช่วยในการโฆษณาได้อย่างมาก “สิ่งนี้จะทำให้เราเข้าใจผู้ใช้งานมากขึ้นผ่านข้อมูลต่างๆ ที่พวกเขาถ่ายภาพ เพื่อเข้าถึงความสนใจลึกๆ ของพวกเขา เช่น ถ้าผู้ใช้งานถ่ายภาพบอร์ดดิ้งพาสของพวกเขาแล้วมันเข้ามายังระบบ สิ่งที่เราจะได้รู้จักตัวเขามากขึ้นมีอีกเยอะ ตั้งแต่ข้อมูลที่ว่าคนๆ นี้กำลังจะไปเที่ยวที่ไหน มีไลฟ์สไตล์ยังไง ใช้บริการสายการบินไหน เลือกนั่งตรงไหน สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้อีกมากมาย” จึงนับเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ใช้ภาพถ่ายและกล้องเข้ามามีบทบาทในการทำการตลาด
Tom Buontempo, president ของเอเยนซี่ Attention ใน New York ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “กล้องมือถือได้กลายมาเป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกแห่งความจริงและอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดียหลายเจ้าเริ่มนำมันมาใช้ เช่น Snapchat เพิ่มพลังให้กับกล้องด้วยการเปลี่ยนโฆษณาแบบเดิมๆ ด้วยฟีเจอร์ lenses และ filters ในขณะที่ Pinterrest ทลายข้อจำกัดของสินค้ากับการซื้อขายจนหมดไป และล่าสุดตอนนี้กับ Google Lens ที่ดูเหมือนจะมีผลกับการใช้ชีวิตเราอย่างมาก”
ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องไม่ลืมว่า Google คือแพลตฟอร์มเพื่อการค้นหา สินค้าทั้งหลายพัฒนาขึ้นมาก็เพื่อขยายขอบเขตของการค้นหาให้กว้างออกไปเรื่อยๆ แทนที่จะพิมพ์ใช้คำค้นหาตามปกติ ก็พัฒนามาให้เราค้นหาด้วยภาพ หรือเสียงได้ และล่าสุดกับการทำการบ้านมาเป็นปีก็ถึงเวลาของ Google Lens ที่มีความคล้ายคลึงกับ Google Goggles แอปเสิร์ชภาพที่ปิดตัวไปหลังเปิดได้ 4 ปี Buontempo กล่าวว่านั้นอาจยังไม่ใช่ที่เหมาะสมของ Google Goggles แต่ตอนนี้มันถูกตบให้เข้าที่แล้วกลับมาใหม่ในแบบที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้มากกว่าที่เคย
ก่อนหน้านี้ Pinterest เพิ่งปล่อยฟีเจอร์ที่ทำงานคล้ายกันและชื่อเหมือนกันอย่าง Pinterest Lens ที่ใช้งานโดยการให้ผู้ใช้ถ่ายภาพของสิ่งที่สนใจ เช่น อาหาร หรือเสื้อผ้า จากนั้นเพลตฟอร์มจะหาความเชื่อมโยงของภาพดังกล่าวกับข้อมูลที่มีอยู่บนแพลตฟอร์ม เช่น สูตรอาหารดังกล่าว หรือเสื้อผ้าที่มีสไตล์แบบเดียวกับที่ถ่ายไป ในมุมของผู้ใช้งานแล้วดูเหมือนมันจะคล้ายกันมากจนแยกไม่ออก แต่ต้องบอกว่า Google Lens เหนือกว่าตรงที่สามารถใช้งานร่วมกับ Google Assitant และสามารถใช้เสียงและภาพในการค้นหาร่วมกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ pinterest ในฐานะแพลตฟอร์มด้านรูปภาพอย่างเดียว ไม่สามารถสู้ได้ แต่ทางโฆษกของ Pinterest ก็ออกมาตอบโต้ว่าฟีเจอร์ของพวกเขาพัฒนามาเพื่อไม่ใช่เพียงการระบุว่าสิ่งนั้นๆ คืออะไร แต่เป็นการแสดงผลการค้นหาที่ไกลกว่านั้น เช่น ถ้าคุณอัพโหลดภาพเค้กสตอเบอรี่ มันจะไม่ขึ้นบอกคุณว่านี่คือเค้กสตอเบอรี่ แต่จะขึ้นเป็นสูตรทำเค้กสตอเบอรี่ให้คุณด้วย Pinterest มั่นใจจุกขายของตัวเองอยู่ที่การคิดไปให้ไกลกว่าความคาดหวังของผู้บริโภค ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสู้กับ Google Lens ได้
อย่างไรก็ตามด้วยโปรดักท์ที่หลากหลายกว่าในตระกูล Google ทำให้ Google ได้เปรียบในแง่ของการเอาดาต้าไปแปลงเพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกในการทำการตลาดที่แน่นอนว่า Pinterest มีน้อยกว่าและ Google เชื่อว่า Pinterest ช่ำชองแค่เรื่องไลฟ์สไตล์มากกว่าเรื่องทั่วๆ ไป เช่นหากถ่ายภาพตระกร้าผลไม้ Google Lens จะบอกคุณถึงคุณค่าทางโภชนาการของผลไม้ในตระกร้า แต่ Pinterest Lens จะบอกคุณถึงวิธีการจัดตระกร้าแบบนี้ ไลไปจนถึงเรื่องการออกแบบครัว จนอาจไกลออกทะเลไปกว่านั้น ซึ่งทาง Google มองว่าการทำแบบ Pinterest ทำให้การควบคุมผลการค้นหาให้ออกมาอยู่ในบริบทที่ผู้ใช้งานต้องการจริงๆ นั้นทำได้ยาก
สุดท้ายแล้ว Buontempo ยังเชื่อว่า Google Lens จะเป็นเครื่องไม้เครื่องมืออันใหม่ที่แบรนด์จะสามารถหยิบมาเล่นอะไรด้วยได้ ทั้งในแง่ของข้อมูลและการสร้าง Brand Expereince มันจะทำให้เรากลับมาคิดถึง Customer journey กันอีกครั้งและหาทางใช้มันได้อย่างสนุกสนาน
แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM