นายจอร์จ มูลเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท อินเตอร์เควล จำกัด ทายาทรุ่นที่ 7 เจ้าของ แฮปปี้ ด็อก (Happy Dog) และ แฮปปี้ แคท (Happy Cat) แบรนด์อาหารสุนัขและแมวระดับซูเปอร์พรีเมียม ยอดขายสูงสุดอันดับ 1 จากประเทศเยอรมัน บุกตลาดไทย ประกาศร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท แฮ้ปปี้ เพท (ประเทศไทย) จำกัด นำเข้าสินค้าทางเลือกใหม่ที่มีคุณภาพสำหรับผู้รักสัตว์จากประเทศเยอรมัน ตอบรับเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพ มั่นใจตลาดอาหารเม็ดในประเทศไทยโตแซงหน้าญี่ปุ่นและหลายประเทศในเอเชีย
ตั้งเป้าคว้าตำแหน่งผู้นำอาหารสุนัขและแมวที่ให้โภชนาการแบบ “องค์รวม” ระดับซุปเปอร์พรีเมียมในตลาดประเทศไทย ด้วยสนนราคาที่ทุกคนซื้อหาได้ ย่อมเยากว่าสินค้าในระดับเดียวกันถึง 15-20% เน้นกลยุทธ์ตลาดเชิงอารมณ์สู่ความต้องการที่แท้จริงของผู้เลี้ยงสุนัขและแมว ย้ำใช้ Real Life Presenters เป็นกลยุทธ์หลักเพื่อสื่อสารแบรนด์ โดยมุ่งก้าวสู่ที่ 1 ในใจผู้บริโภค สร้าง Top of Mind Brand เมื่อนึกถึงคุณภาพของอาหารสัตว์ โดยปูแผนขยายไปยัง 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ พม่า กัมพูชา และลาว หลังสร้างฐานที่แข็งแกร่งในประเทศไทยในอนาคต ด้วยเครือข่ายและสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งของผู้จัดจำหน่าย (Distributor) จากการผนึกกำลังของหุ้นส่วนในประเทศไทย พร้อมวางจำหน่ายแล้วตามร้านค้าจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง (Pet Shop) และโรงพยาบาลสัตว์ชั้นนำทั่วประเทศ
ด้วยประสบการณ์กว่า 250 ปี แห่งคุณภาพและความไว้วางใจ จากธุรกิจโรงสีในครอบครัวของตระกูลมูลเลอร์ ในเมืองเวริงเก็น ประเทศเยอรมันนี เมื่อปี ค.ศ. 1750 จากนั้นเริ่มผลิตอาหารสุนัขและพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยกระบวนการและองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จนกลายเป็นผู้นำในการผลิตอาหารสุนัขและแมว ปัจจุบันบริษัทฯ ดำเนินกิจการภายใต้ชื่อ อินเตอร์เควล จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ Happy Dog และ Happy Cat ส่งออกขายทั่วโลกแล้วในกว่า 66 ประเทศทั่วโลกทั้งในเยอรมัน ยุโรปตะวันตก และตะวันออก เอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ และยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพ ภายใต้แนวคิด “เราทำให้สุนัขและแมวมีความสุข เพราะเรารู้ว่ามันชอบอะไร”
นายเกรียงศักดิ์ อธิคมวิทยา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แฮ้ปปี้ เพท (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าปัจจุบันตลาดสินค้าและบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมียอดการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้แต่ในช่วงเศรษฐกิจไม่สดใส ทำให้มีโอกาสขยายตัวถึงกว่า 10-15% ต่อปี ในช่วง 3-5 ปีนี้ ด้วยสภาพสังคมและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป อาทิ การอยู่อาศัยครอบครัวเชิงเดี่ยวหรืออาศัยอยู่ลำพัง การอยู่เป็นโสดมากขึ้น การแต่งงานช้าลงหรือน้อยลง อัตราการมีบุตรที่ลดลง และการมีประชากรผู้สูงอายุมากขึ้น ทำให้การเลี้ยงสุนัขหรือแมวเป็นที่นิยมมากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นและเหลือใช้มากขึ้น และพฤติกรรมของคนเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบันที่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยและจิตใจของสัตว์เลี้ยงมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการใช้จ่ายกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เกื้อหนุนต่อตลาดธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทำให้เป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก โดยมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจสำหรับสัตว์เลี้ยงคาดการณ์ปีนี้ของประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง 12,000 ล้านบาท กลุ่มโรงพยาบาลสัตว์และการรักษา 8,000 ล้านบาท และอุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง อีก 6,000 ล้านบาท
ปัจจุบันเทรนด์การให้ความสำคัญต่อสุขภาพและรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติเพิ่มขึ้นทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ทำให้อาหารประเภทซูเปอร์พรีเมียมอย่าง Happy Dog และ Happy Cat ซึ่งผลิตมาจากวัตถุดิบธรรมชาติและไม่มีสารเคมีเจือปนจะได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขนาดของตลาดอาหารเม็ดในประเทศไทยจะเล็กกว่าและเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่อัตราการเติบโตสูงแซงหน้าประเทศที่มีขนาดของตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่กว่าอย่างญี่ปุ่นและในอีกหลายประเทศในเอเชียได้ในอนาคต โดยสุนัขยังคงเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมอันดับ 1 ในขณะเดียวกันความนิยมของแมวกำลังไล่ตามมาเป็นลำดับซึ่งในอีก 2-3 ปี จะมีสัดส่วนเป็น 50-50
“เราคาดว่ากลุ่มอาหารสัตว์ระดับซุเปอร์พรีเมียมอย่าง Happy Dog และ Happy Cat จะโตกว่า 20% เพราะปัจจุบันเจ้าของสัตว์เลี้ยงให้ความสำคัญต่อสุขภาพและ “ความสุข” ของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยเลี้ยงดูเหมือนสมาชิกในครอบครัว ดังนั้นจึงมักแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอาหารที่มีคุณภาพผลิตมาจากวัตถุดิบจากธรรมชาติชั้นดีและไม่มีสารเคมีเจือปนเหมือนแบรนด์ Happy Dog และ Happy Cat ที่กำลังเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างในยุโรปและอเมริกา โดยปีที่แล้วกว่า 80% ของการเปิดตัวอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก เป็นอาหารเพื่อสุขภาพเกือบ 90% และเกือบ 53% เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและออร์แกนิค โดยที่ 23% เป็นอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุสำหรับสุนัขและแมวที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะ และกว่า 30% ของการเปิดตัวมีการเพิ่มแหล่งโปรตีนที่หลากหลายขึ้นทั้งจากเนื้อหรืออาหารทะเลถึงกว่า 20% เราจึงเชื่อว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนแปลงที่ผู้รักสัตว์เลี้ยงทั้งหลายจะหันมาให้สุนัขและแมวของตนมาบริโภคแต่อาหารที่มีคุณภาพดีมากขึ้น” นายเกรียงศักดิ์ กล่าวถึงเทรนด์และตลาดธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง
สำหรับ Happy Dog และ Happy Cat เน้นการใช้กลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์และการตลาดเชิงอารมณ์ (Emotional Marketing) ในการทำการตลาดไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลกตามนโยบายของบริษัทแม่ รวมถึงในประเทศไทย โดยให้ความสำคัญต่อการใช้ Real Life Presenters เป็นกลยุทธ์หลักในการสื่อสารแบรนด์ ด้วยประสบการณ์ในการผลิตอาหารสุนัขและแมวมาอย่างยาวนาน ความเอาใจใส่ด้านคุณภาพ และความรักความเข้าใจในสัตว์เลี้ยงของบุคลากรทุกคนในองค์กร คนที่เลี้ยงสุนัขและแมวในองค์กรจึงกลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ เพื่อสะท้อนและเน้น “ความสุข” ของสัตว์เลี้ยง ถ่ายทอดผ่านความสัมพันธ์ในชีวิตจริงระหว่างเจ้าของที่มีต่อสัตว์เลี้ยง และแบ่งปันเรื่องราวของเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงเพื่อบ่งบอกถึง “ช่วงเวลาแห่งความสุข” (Happy moment) และการที่ Happy Dog และ Happy Cat ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความสุข ทำให้รู้ว่าอะไรที่ทำให้สัตว์เลี้ยงมีความสุข
การเข้ามาทำตลาดอาหารสุนัขและแมวระดับซูเปอร์พรีเมียมในเมืองไทยของ Happy Dog และ Happy Cat นอกจากความต้องการเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มีคุณภาพให้แก่คนรักสุนัขและแมวและเป็นผู้นำทางด้านอาหารสุนัขและแมวที่ให้โภชนาการแบบ “องค์รวม” เพื่อสารอาหารที่ครบถ้วนและใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุดแล้ว ยังหวังมุ่งสร้างเทรนด์การเน้น “ความสุข” ให้แก่สัตว์เลี้ยงทั้งกายและใจ ไม่ใช่แค่ทางร่างกายอย่างเดียว ด้วยจุดต่างของสินค้าคุณภาพระดับซูเปอร์พรีเมียมที่ผลิตในประเทศเยอรมันโดยกระบวนการผลิตได้รับการควบคุมมาตรฐานสูงสุดของประเทศเยอรมัน โดดเด่นด้วยสูตรอาหารที่หลากหลายและมาจากแหล่งโปรตีนหลายชนิด และยังมีสูตรอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงที่แพ้ง่ายอย่างสูตร Grainfree หรือไม่มีธัญพืช หรือสูตร Single Protein ที่มาจากเนื้อสัตว์ประเภทเดียวอย่างนกกระจอกเทศ เป็นต้น รวมถึงมีแนวความคิด Natural Life Concept® และ All in One® อันเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะของแบรนด์ที่ต้องการให้สัตว์เลี้ยงได้รับอาหารที่มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด และได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนจากหลากหลายแหล่ง มีความหลากหลายในรสชาติ และอร่อย ช่วยให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างองค์รวมทั้งข้อต่อ ผิวหนัง และขน โดยเลือกสรรแต่วัตถุดิบธรรมชาติ คุณภาพดีเทียบเท่าอาหารของมนุษย์ และมีการเพิ่มสารอาหารและกากใยของสมุนไพรธรรมชาติและผลไม้อย่างแอปเปิ้ลเข้าไปในสูตรอาหาร นอกเหนือจากเนื้อสัตว์สดใหม่อันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในอาหารเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ นอกจากนี้ยังไม่มีการแต่งสีหรือใส่สารสังเคราะห์ และไม่มีการใช้วัตถุดิบที่ปรับเปลี่ยนพันธุกรรมหรือใช้สัตว์ในการทดลอง ทำให้มั่นใจได้ว่า Happy Dog และ Happy Cat มีคุณภาพที่ไว้ใจได้ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพดีแบบองค์รวมทั้งกายและใจ
Happy Dog และ Happy Cat ยังเป็นแบรนด์ที่ได้ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างมาก โดยการผลิตกระแสไฟฟ้าเองจากบนหลังคาโรงงานด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และการใช้กระดาษรีไซเคิล 100% ในห่อบรรจุภัณฑ์ และมีโครงการส่งเสริมการปลูกป่าในประเทศต่างๆ นอกจากนี้ ยังบริจาคเงินกว่า 850,000 ยูโร ในการสร้างบ้านใหม่และส่งเสริมการศึกษาให้แก่เด็กในประเทศแอฟริกา ผ่านโครงการ SOS ซึ่งได้บริจาคเงิน 2% ของราคาขายที่ได้จากการขายอาหารสุนัขพรีเมียมสูตร “Africa” ให้กับหมู่บ้านเด็กในแอฟริกามาเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว
“การเลือกอาหารสำหรับเพื่อนสี่ขาของเราควรเลือกจากคุณภาพของสินค้า และวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะแหล่งผลิตที่ไว้ใจได้และมีคุณภาพในการควบคุมสูงสุด ควรเน้นที่ความต้องการที่แท้จริงของสัตว์เลี้ยง และอะไรที่ฃทำให้สัตว์เหล่านั้นมีความแข็งแรงอย่างองค์รวม และมีสารอาหารที่ครบถ้วน โดยเลือกสรรแต่อาหารที่ทำให้สุนัขและแมวของเรา Happy มีความสุขเท่านั้น” นายจอร์จ กล่าวถึงความห่วงใยต่อความใส่ใจของผู้ที่เลี้ยงสุนัขและแมว