ว่ากันว่า คนไทยส่วนใหญ่ชอบเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาเป็น ”เหมือน” ตัวเอง “เรียนให้หนักลูก เอาเกรด4ทุกวิชามาให้ได้ลูก เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีเอง” ถึงแม้ว่าโลกจะก้าวเข้าสู่ ศตวรรษที่ 21 ไปนานเท่าใด ค่านิยมนี้ก็ยังคงเหนียวแน่นติดตรึงอยู่ในสังคมไทยเสมอมา จากที่เราได้เห็น ดราม่าต่างๆในสังคมออนไลน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้ลูกเล็กเรียนหนัก ด้วยตารางเรียนอันแน่นเอี้ยด โดยมีคำว่า “วินัย” เป็นแรงจูงใจหลักในการเลี้ยงลูก ด้วยการห้ามลูกเล่นเกมส์ หรือ ทำกิจกรรมไร้สาระที่ไม่ใช่การเรียน
ซึ่งหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้ว ในยุคเศรษฐกิจดิจิตัลอย่างทุกวันนี้ “ความคิดสร้างสรรค์” เป็นปัจจัยหลักในการประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ ดังเช่นบริษัทไอทีใน Silicon Valley อย่าง Apple, Facebook หรือ Google, บริษัทเหล่านี้ไม่เพียงหาคนเก่งแต่การเรียนเท่านั้น แต่ ความคิดสร้างสรรค์ และ ความไม่เหมือนใครคือปัจจัยหลัก ที่เขามองหาเลยทีเดียว
หนังสั้นเรื่องนี้น่าจะเข้ากับเหตุการณ์นี้ได้ดีที่สุด Alike หนัง Animation เรื่องนี้กวาดรางวัลมามากกว่า 69 รางวัล จากเทศกาลหนังทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Festival de Cine de Madrid, 30th Edmonton International Film Festival, 15th San Diego Film Festival, และ Siggraph Electronic Theater 2016
ซึ่งรางวัลเหล่านี้เหมาะสม กับคุณภาพของหนังเรื่องนี้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ภาพ หรือการเขียนบท (ทั้งๆที่หนังเรื่องนี้ไม่มีบทพูดเลยคำสักเดียว) หลายคนอาจจะคิดว่า หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นหนังอนิเมชั่นระดับสตูดิโอ แต่จริงๆแล้ว กลับถูกสร้างสรรค์โดย อนิเมเตอร์เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น (Daniel Martínez Lara และ Rafa Cano Méndez) ซึ่งกว่าจะมาเป็นผลงานชิ้นนี้ ทั้ง 2 คน ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี เพราะโปรเจคนี้เป็นโปรเจคส่วนตัว หลังเลิกงานของพวกเขานั่นเอง Alike เป็นเรื่องราวง่ายๆ ของชีวิตพ่อลูกที่มีชีวิตธรรมดาๆ เหมือนกับเราๆ นั่นคือ พ่อไปทำงานออฟฟิส ส่วนลูกก็ต้องไปโรงเรียนพร้อมกระเป๋าหนังสือหนักอึ้ง แต่ลูกของเขานั้น กลับไม่ชอบเรียนหนังสือและไม่ชอบทำตามใคร เขา“ไม่เหมือน”คนอื่น ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนเป็นพ่อ ก็ต้องอยากให้ลูกเป็น”เหมือน”คนอื่น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนเรื่องราวจะจบลงอย่างไร ลองติดตามชมหนังสั้นเรื่องนี้ได้เลยครับ
Alike สามารถอธิบายบริบท ของการทำลายความคิดสร้างสรรค์ ออกมาได้สมจริง โดยไม่ต้องใช้คำพูดแม้แต่คำเดียว ผ่านการใช้สัญลักษณ์ สี และ องค์ประกอบจากสิ่งของที่เราเห็นในชีวิตประจำวันเพียงไม่กี่ชิ้น ก็สามารถเล่าเรื่องได้เป็นอย่างมาก อาทิเช่น กระเป๋าอันหนักอึ้งที่เด็กๆต้องแบกไปเรียนทุกวัน ตึกรามบ้านช่องที่ซ้ำซากจำเจ ภาพคนเดินดุ่มๆ ไปทำงานเช้าเย็นเป็นกิจวัตร โดยการใช้สีผิวที่ซีดลง แทนถึงชีวิตของเราที่หายไป จากการไปโรงเรียน และการทำงาน ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงมาก เพราะเราย่อมเคยรู้สึกเหมือนโดนดูดพลัง ดูดความเป็นตัวตนของเรา ผ่านสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น และเราจะกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิมได้ ก็ต่อเมื่อเรา กลับมาเป็นตนเองที่มีความรู้สึก, มีความคิดสร้างสรรค์ นั่นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้น การมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้แปลว่า คุณจะต้องไปเป็นศิลปิน นักออกแบบ หรือนักดนตรีกันหมด เราสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ได้ ในทุกๆอาชีพ คุณสามารถเสนอไอเดียใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทางหน้าที่การงานของคุณได้ ผมเชื่อว่า ถ้าประเทศไทย มี หมอ, ทนายความ, นักบัญชี หรือ วิศวกร ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และ มีจิตใจที่เปิดกว้างกว่านี้ ประเทศไทย น่าจะก้าวหน้าขึ้นทัดเทียมประเทศอื่นๆ ไม่แพ้ประเทศใดๆในโลกอย่างแน่นอน และ หลังจากที่ทุกคนดูหนังสั้นเรื่องนี้จบ ผมหวังว่าทุกคนจะเลิกทำลายความคิดสร้างสรรค์ของกันและกัน เลิกบังคับให้ทุกคนคิดเหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกัน และ เลิกทำให้คนอื่น “เป็นเหมือนตัวเอง” เสียที
Story By Nuttanun V.