ในอดีต เมื่อพูดถึงคอนเทนต์ “เพลง” ใครๆ ก็มองว่าคือเนื้อร้อง และทำนองที่ถ่ายทอดผ่านศิลปิน และนำเสนอเรื่องราวในรูปแบบมิวสิควีดีโอ แต่เมื่อปีที่แล้ว “GMM Bravo” หน่วยน้องใหม่มาแรงในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้ปฏิวัติวิธีทำคอนเทนต์แนวคิดใหม่ ด้วยการนำเพลงฮิตจับหัวใจคนรุ่นใหม่ที่ขึ้นแท่นยอดดูกว่า 100 ล้านวิวบน YouTube มาต่อยอดและสร้างสรรค์เป็น “ซีรีส์” ออกอากาศผ่านช่อง GMM 25 และช่องทางออนไลน์ทั้งของ GMM 25 , GMM Bravo และ LINE TV
หลายคนอาจคิดว่าแค่เอาเพลง มาแปลงเป็นซีรีส์ ไม่น่ายากอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วกว่าซีรีส์เรื่องหนึ่งจะปรากฏอยู่หน้าผู้ชม ต้องผ่านกระบวนการคิด และขั้นตอนมากมาย เพื่อให้ได้ “คอนเทนต์” ที่มีทั้งความคิดสร้างสรรค์ มีคุณภาพ และปรุงให้กลมกล่องโดนใจกลุ่มเป้าหมาย ขณะเดียวกันต้องตอบโจทย์ลูกคาที่ซื้อโฆษณาเช่นกัน
วันนี้ผ่านมาแล้วหนึ่งปี ซีรีส์ที่ออกอากาศไปแล้ว ได้รับการตอบรับจากผู้ชมมากมาย โดยเฉพาะโดนใจกลุ่ม Millennials อายุ 18 – 34 ปี กลุ่มเป้าหมายหลักของทั้ง GMM Bravo และ GMM 25 สะท้อนได้จากเรตติ้ง ยอดวิว ยอดแชร์ และคอมเม็นต์ต่างๆ ในออนไลน์ หลายเรื่องมีกระแสพูดถึงกันในวงกว้าง ทั้งในประเทศ และกระแสยังขยายไปยังต่างประเทศ ถึงกับมีหลายประเทศติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์เอาไปฉายเรียบร้อยแล้ว
คุณเอกชัย เอื้อครองธรรม ครีเอเตอร์ บอสใหญ่แห่ง GMM Bravo ซึ่งเป็นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ดีกรีระดับอินเตอร์ เผยกลยุทธ์การปั้นคอนเทนต์ในสไตล์ “GMM Bravo” ว่าทำอย่างไรถึงมัดใจกลุ่มผู้ชม Millennials ให้ติดตามซีรีส์กันแบบไม่พลาดเลยสักตอน และนำไปสู่กระแสการพูดต่อในโลกออนไลน์ มาจาก 5 องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
1. ให้ความสำคัญกับ Big Data พฤติกรรมการรับสื่อของผู้ชม โดยการทำสำรวจ ทั้งสัมภาษณ์คน Millennials และฟังเสียงผู้ชมจากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ของช่อง GMM 25 และ GMM Bravo เช่น Facebook, Twitter เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคกลุ่ม Millennials ชอบ-ไม่ชอบคอนเทนต์ประเภทไหน , ประเด็นไหนโดนใจ เพื่อนำมาปรับใช้และพัฒนาคอนเทนต์
2. ท่ามกลางคลังเพลงฮิตในเครือแกรมมี่ ที่มีไม่ต่ำกว่า 30,000 เพลง โดยเพลงที่จะเป็นไอเดีย หรือแรงบันดาลใจในการสร้างซีรีส์ ต้องเป็นเพลงระดับ “เพลงรักแห่งชาติ” ที่ฮิตโดนใจคนรุ่นใหม่ พิสูจน์ทราบด้วยยอดวิวเกิน 100 ล้านวิวบน YouTube
3. ด้วยความที่ “GMM Bravo” ไม่ได้เป็นเพียง Content Creator ธรรมดา แต่เป็น “Marketing Oriented Content Creator” เพราะฉะนั้นซีรีส์แต่ละเรื่องที่สร้างขึ้น ต้องตอบโจทย์ 3 ส่วนหลัก คือ “ครีเอทีฟ” ในมิติของความคิดสร้างสรรค์, “คนดู” กลุ่ม Millennials ชอบดูคอนเทนต์ที่มีสีสัน มีส่วนผสมลงตัวระหว่างความสนุก ตลก และดราม่า, “ลูกค้า” ที่ซื้อโฆษณา ซึ่งการสื่อสารการตลาดยุคดิจิทัล ลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่การสร้าง Brand Awareness เท่านั้น แต่ยังต้องการ “Engagement” กับกลุ่มผู้ชม
“GMM Bravo” เข้าใจ Consumer Insight คนกลุ่ม Millennials เป็นอย่างดีว่าถ้าแบรนด์โฆษณาตรงๆ เพื่อขายของ คนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยเปิดรับการสื่อสารของแบรนด์นั้น ทำให้โฆษณาชิ้นนั้นๆ บรรลุผลได้อย่างมากแค่สร้าง Brand Awareness เท่านั้น ไม่สามารถไปถึงระดับการสร้าง Brand Engagement เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้ไม่เชื่อแบรนด์ แต่เชื่อเพื่อน หรือคนใกล้ตัว และเชื่อ Influencer มากกว่า
ดังนั้น การสื่อสารที่ได้ประสิทธิภาพดีกว่าสปอตโฆษณา คือ Tie-in , Product Placement หรือ Extended Scoop ร้อยเข้าไปกับเนื้อเรื่องซีรีส์ได้อย่างเนียนเป็นเนื้อเดียวกับเรื่องราว
รูปแบบการขายโฆษณาของ “GMM Bravo” ออกแบบแพคเกจโฆษณาหลายรูปแบบ เช่น ถ้าเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ จะได้ทั้ง Product Placement, Tie-in และบางสปอนเซอร์ซื้อ Extended Scoop โดยทาง GMM Bravo จะคิดแคมเปญสนุกๆ เข้ากับเรื่องราวของซีรีส์ให้กับลูกค้า ด้วยวิธีการนี้จะช่วยสร้างโอกาสให้กับแบรนด์ต่างๆ ในการสร้าง Engagement กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างน่าสนใจ
4. Signature อย่างหนึ่งของซีรีส์จาก “GMM Bravo” มีความเป็น “Universal” หมายความว่า เป็นเรื่องราวที่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชนชาติอะไร ก็เคยมีประสบการณ์ลักษณะเดียวกัน หรือคล้ายกัน หรือเรื่องราวนั้นอาจกำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง หรือเห็นจากคนใกล้ตัว เช่น เรื่องราว “ความรัก” ในมิติต่างๆ ที่ไม่ว่าจะแง่มุมไหน มีความเป็น Universal เสมอ
ขณะเดียวกันเนื้อเรื่องต้อง “Relevant” และ “Real” คือ มีความเชื่อมโยงกับคนกลุ่ม Millennials และเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นจริงในชีวิตคนเรา ยิ่งในยุคดิจิทัล คนกลุ่ม Millennials ทั่วโลกมีไลฟ์สไตล์คล้ายกัน เนื่องจากเปิดรับข่าวสารต่างๆ จากทั่วโลก ทำให้มีความเป็น Cosmopolitan สูง และอัพเดทเทรนด์ใหม่ตลอดเวลา จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้เทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นในซีกโลกหนึ่ง ยังไม่ทันข้ามคืน เทรนด์นั้นก็ขยายไปทั่วโลก ทำให้คน Millennials มองตัวเองว่าเป็น Humans of the World และมีความรอบรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
นี่จึงทำให้ผู้ชมที่ดูซีรีส์ของ GMM Bravo หลายคนจะรู้สึกว่าทั้งเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมา และคาแรกเตอร์ตัวละครต่างๆ ราวกับถอดออกมาจากชีวิตจริงของตัวเองที่เคยประสบมาก่อน หรือเป็นสิ่งที่เห็นได้ในสังคม ทำให้ผู้ชมรู้สึกเป็น “เจ้าของ” เรื่องราวเหล่านั้น และด้วยสไตล์การนำเสนอลักษณะดังกล่าว ทำให้ซีรีส์ของ GMM Bravo สามารถ “จับใจ” ผู้ชมได้ทันที ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนประเทศอะไรก็ตาม
5. ครบเครื่องทั้ง On Air – Online – On Ground ซีรีส์คอนเทนต์ของ “GMM Bravo” ออกอากาศผ่านช่อง GMM 25 ทั้งยังผ่านช่องทางออนไลน์อย่าง LINE TV และสามารถดูย้อนหลังได้ที่ YouTube รวมถึงใช้ช่องทางโปรโมทซีรีส์ เพื่อโหมโรงก่อนที่ซีรีส์จะออกอากาศ
การเจาะกลุ่มคน Millennials ช่องทางออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มสำคัญมาก เพราะคนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตเกือบ 24 ชั่วโมงอยู่บนโลกออนไลน์ และการมีช่องทางนี้ ทำให้เกิดการดูซ้ำเป็นต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีการจัดอีเว้นท์ซีรีส์แต่ละเรื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ กระตุ้นความสนใจของคน และทำให้แบรนด์สินค้าและบริการที่เป็นสปอนเซอร์ ได้ร่วมจัดกิจกรรม พบปะผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
“คอนเทนต์ที่จะประสบความสำเร็จ หนึ่ง คอนเทนต์นั้นต้องชัดเจนว่ากำลังพูดกับกลุ่มไหน อย่างในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ก็มีเซ็กเมนต์ย่อยอีก เพราะฉะนั้นเราต้องซูมไปเลยว่าจะโฟกัสกลุ่มไหน ซึ่งคอนเทนต์ของ GMM bravo โฟกัสกลุ่ม Millennials และการทำคอนเทนต์ ต้องมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ชมเป้าหมาย
สอง ทำให้สปอนเซอร์รู้สึกว่าสามารถสร้างการสื่อสารแบรนด์ได้อย่างแปลกใหม่ และสร้างสรรค์ เนื่องจากการสื่อสารการตลาดปัจจุบัน ต้องมี “Entertainment Value” คนถึงจะแชร์ จะตาม และคนดูรู้สึกมีความเป็น Ownership ของเรื่องราวนั้นๆ สาม การวัดผลด้วยเรตติ้ง และยอดวิว ยังมีความสำคัญ”
ถอดหัวใจเพลงฮิต 1000 ล้านวิว เสิร์ฟ 4 ซีรีส์รักแห่งปี “Bangkok รัก Stories”
https://www.facebook.com/gmmbravo/videos/1736052070028765/
หลังจากเริ่มต้นฉายซีรีส์ 3 ชุด (Melodies of Life, Encore 100 Million Views, Love Rhythms) จนดังพลุแตกไปไกลถึงต่างแดน ถึงกับมีหลายต่างประเทศ เช่น จีน และประเทศในเอเซีย ติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ซีรีส์ทั้ง 3 ชุดไปฉายเรียบร้อยแล้ว
เพื่อเอาใจคอซีรีส์อย่างต่อเนื่อง “GMM Bravo” เดินหน้าเสิร์ฟซีรีส์ชุดใหม่ต่อทันที ด้วยการนำ 4 เพลงดังแห่งชาติของคนรุ่นใหม่ ที่มียอดวิวรวมกันทะลุ 1,000 ล้านวิว มาจับคู่กับ 4 ย่านสำคัญที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นสาทร, ทองหล่อ, ย่านเมืองเก่า, สยามสแควร์ ผนึกกับประสบการณ์ความรักที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของคนรุ่นใหม่ สู่การสร้างสรรค์โปรเจคซีรีส์ยิ่งใหญ่กลางปีนี้ ในชื่อ “Bangkok รัก Stories” ประกอบด้วย 4 เรื่องราว รวม 52 ตอน ที่ให้อารมณ์ความรักที่แตกต่างกัน…
“PLEASE” เรื่องราวของ 3 สาวเพื่อนรัก “เอด้า – เพียงฟ้า – เคท” ต่างอาชีพ มาอยู่ด้วยกันในคอนโดหรูกลางสาทร ซึ่งนิสัยแต่ละคนแทบไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย นอกจากความเหงาและความโสด แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 3 สาวโสดต่างไป #รักคนที่ไม่ควรรัก
https://www.facebook.com/gmmbravo/videos/1739114823055823/
“แพ้ทาง” เรื่องราวของ “ใบตอง” สาวมัณฑณศิลป์สุดมั่น นอกบ้านเป็นดาวเด่นของคณะ แต่ในบ้านเป็นลูกของแม่บ้าน เมื่อบ้านเธอโดนยึด มหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้านายแม่เธอ จึงชักชวนสองแม่ลูกมาอยู่ในคฤหาสน์ใจกลางย่านทองหล่อ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้เจอหลานชายสุดหล่อ 3 คนของมหาเศรษฐี มาลุ้นกันว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสาวรุ่นใหม่อย่างเธอเกิดต้องไป #รักมากกว่า 1 คน สุดท้ายแล้วเธอจะเลือกเส้นทางไหน
https://www.facebook.com/gmmbravo/videos/1739686869665285
“เก็บรัก” เรื่องราวของ “หมอก” ช่างตัดผมมือหนึ่งของย่านสยามสแควร์ ที่มีสาวน้อยใหญ่ เก้งกวางบ่างชะนี แห่จองคิวกันเพียบ แต่ชายคนนี้ไม่เคยลืม “เจน” แฟนเก่าสมัยเรียนที่หายไปจากชีวิตเขาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครรู้ จนวันหนึ่งทั้งสองได้พบกันอีกครั้งโดยบังเอิญ มาพร้อมกับเด็กผู้ชายตัวน้อย มาร่วมลุ้นกันว่าหมอกจะลืมรักเก่าได้หรือไม่ และปริศนามากมายเหตุผลที่เจนทิ้งเขาไป หรือแม้แต่เด็กที่มากับเจนเป็นลูกใคร และหมอกกับเจนจะได้หวนกลับมาคบกันอีกไหม? ในเรื่องของ #รักคนที่ไม่รักเรา
“คนมีเสน่ห์” เรื่องราวความรักละมุนของ “บัวลอย” หลานสาวแม่ค้าร้านขนมไทยในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ กับ “ภากร” หนุ่มเพอร์เฟคที่เพิ่งถูกเจ้าสาวหักหลังกลางงานวิวาห์ หนำซ้ำยังเกิดอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้ จนวันหนึ่งบัวลอยโดนแม่ภากรให้มาดูแลเขา จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเลิฟสตอรี่เคล้าขนมไทยของทั้งคู่ที่จับพลัดจับผลูไป #รักคนที่ไม่คิดจะรัก เข้าจนได้
ซีรีส์ทั้ง 4 เรื่องราวที่สะท้อนประสบการณ์ความรักของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ จะออกอากาศให้ชมกันทุกเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.00-18.00 น. ทางช่อง GMM 25 เริ่ม 15 กรกฎาคมนี้ และชมย้อนหลังที่ LINE TV ตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งนอกจากฉายในไทยแล้ว ขณะนี้มีต่างประเทศ ทั้งจีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และกว่า 20 ประเทศ ได้ซื้อลิขสิทธิ์ทั้ง 4 ซีรีส์ เพื่อไปฉายที่นั่นด้วยเช่นกัน
ก้าวต่อไปของ “GMM Bravo”
หากเปรียบเส้นทางการเติบโตของ “GMM Bravo” เป็นบันได 10 ขั้นแล้ว ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์มือทอง บอกว่าขณะนี้เราน่าจะอยู่ขั้นที่ 7 – 8 ปัจจัยที่ทำให้โตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากมีทีมงานที่ดี และการสร้างคอนเทนต์อยู่บน DNA เพลงที่แข็งแรงอยู่แล้ว ด้วยความที่ “GMM Bravo” เป็นส่วนหนึ่งของ “GMM Music” ทำให้มีวัตถุดิบที่ดีในการเริ่มต้น อีกทั้งทรัพยากรทางครีเอทีฟในเครือแกรมมี่มีมหาศาล จึงเป็นการต่อยอดจากความแข็งแกร่งที่มี พัฒนาสู่การสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
“ผมอยากให้ GMM Bravo เป็นทีมสร้างคอนเทนต์ที่แหลมคม ในกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการพูดคุยด้วยอย่างชัดเจน และอยากให้คอนเทนต์ที่สร้างขึ้น จับใจกลุ่มเป้าหมาย คนดูมี Engagement กับสิ่งที่เราสร้าง และสเต็ปต่อไปจากนี้ คือ จะสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพระดับอินเตอร์
ณ วันนี้ GMM Bravo ได้รับการทาบทามให้เป็น Co-Production และสร้าง Original Content ให้กับต่างประเทศ เพื่อสร้างคอนเทนต์ออกอากาศบนแพลตฟอร์มระดับใหญ่ สะท้อนให้เห็นว่า Production ไทยมีฝีมือ และเรามีเนื้อเรื่องที่มีเอกลักษณ์ สร้างความหมายให้กับทั้งคนในประเทศ และคนต่างประเทศ นี่คือสิ่งที่เรากำลังเริ่มเดินไปนับจากนี้ โดยมุ่งหวังจะทำให้อุตสาหกรรมซีรีส์โดยรวมในไทย ยกระดับสู่ตลาดโลก” คุณเอกชัย กล่าวทิ้งท้ายถึงเป้าหมายของ GMM Bravo
https://www.facebook.com/gmmbravo/videos/1732197260414246/