สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้จัดโครงการพัฒนาสู่สุดยอดเอ็สเอ็มอีจังหวัด (SME Provincial Champions) ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจากปี 2559 โดยมีเป้าหมายสร้างผู้ประกอบการ 6 รายต่อจังหวัด (จากปีที่แล้ว 3 รายต่อจังหวัด)
นายวชิระ แก้วกอ ผู้อำนวยการกลุ่มงานข้อมูลและสถานการณ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว.จับมือ สถาบันอาหาร จัดสัมมนา “ยกระดับ SME ไทย เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0” ที่จังหวัดสงขลา เดินหน้าหนุนผู้ประกอบการ SMEs ตามโครงการพัฒนาสู่สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด (SME Provincial Champions) พร้อมสร้างต้นแบบธุรกิจที่มีศักยภาพในระดับจังหวัด ผลักดันสู่ระดับประเทศ และเป็นต้นแบบการจัดการองค์ความรู้ธุรกิจให้กับ SMEs อื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถหนุนเสริมเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยการสัมมนาดังกล่าว เป็นการจัดมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะหมุนเวียนไปยังภูมิภาคต่างๆ ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายมุ่งเน้นความสำคัญของกลุ่มธุรกิจ และผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจของประเทศ ให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน
ทั้งนี้แบ่งกลุ่มประเภทของผู้ประกอบการเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาหาร (Food) และ กลุ่มที่มิใช่อาหาร (Non-Food) เน้น Service & Trade โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพัฒนากลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและกลุ่มบริการเพื่อสุขภาพ (Medical Hub) ตลอดจนกลุ่ม Logistics และ E-Commerce
นายวชิระ แก้วกอ กล่าวเสริมว่า เมื่อต้นปี 2560 สสว. ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้บริโภคก่อนว่าต้องการได้อะไรจากผู้ประกอบการ ซึ่งก็คือ 1. รสชาติของอาหาร ต้องอร่อย 2. มาตรฐาน ต้องสะอาดปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ได้รับการรับรองจากอย. และหาซื้อได้ง่ายทั่วไป 3. บรรจุภัณฑ์ (Packaging) ต้องดูน่าสนใจด้วย มีข้อมูลแสดงส่วนประกอบ (Ingredients) ที่ชัดเจน บรรจุภัณฑ์ที่ดีจะเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจ สร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในคุณภาพสินค้า และนำไปสู่การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในที่สุด
ซึ่งสมาพันธ์เอสเอ็มอี จะเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกท่าน ยินดีให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ โดยทางสสว.ได้ตระหนักถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประสบอยู่ คือ ระบบบัญชีที่ดี โดยผู้ประกอบการจะต้องมีระบบบัญชีเดียว (Single Account) ภาครัฐก็มีนโยบายเร่งด่วนออกมาเพื่อดำเนินการช่วยเหลือด้านนี้ โดยให้ทุนแก่ผู้ประกอบการ 15,000 บาท ในการจ้างสำนักงานบัญชีคุณภาพ ซึ่งทางโครงการฯมีเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว เพื่อทำบัญชีรายเดือนและปิดบัญชีให้ด้วย
การดำเนินการโครงการสุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัดในปี 2560 นี้ ได้รับความร่ววมมือจากสถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสถาบันอาหาร เป็นหน่วยร่วมดำเนินการ จะทำการคัดเลือกผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั่วประเทศ รวม 462 ราย (จากผู้ประกอบการทั่วประเทศ ทั้งสิ้น 2.8 ล้านราย) แบ่งเป็นกลุ่มอาหาร 231 ราย และกลุ่มที่มิใช่อาหาร 231 ราย โดยมีการทำ Workshop ร่วมกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในเบื้องต้น จำนวน 6 ราย เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ที่ผู้ประกอบการต้องปรับปรุง พบว่าผู้ประกอบการในกลุ่ม Food ได้แก่ บริษัท เชฟอุทัย จำกัด ประกอบธุรกิจมัสมั่นบรรจุกระป๋อง ต้องปรับปรุงในเรื่องมาตรฐานการผลิต อาทิ Halal HACCP ฯลฯ เพื่อรองรับการส่งออกในอนาคต ส่วนกลุ่ม Non Food ได้แก่ บริษัท บ้านนาทอง เฮลท์ตี้ แอนด์สปา จำกัด ประกอบธุรกิจสปาและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่เน้นวัตถุดิบที่ทำจากธรรมชาติ ปลอดภัยจากสารเคมี 100% ซึ่งพบว่าต้องปรับปรุงด้านการบริหารจัดการให้เป็นระบบยิ่งขึ้น รวมทั้งการขยายช่องทางการตลาด ในลักษณะแฟรนไชส์เป็นของตัวเอง
ตัวอย่างผู้ประกอบการที่โดดเด่น
1. บริษัท เดริส คอฟฟี่ อินดัสตรี จำกัด (สงขลา) : ผู้ผลิตกาแฟเพื่อสุขภาพ และกาแฟทุเรียน ทูอินวัน และทรีิอินวัน
ซึ่งจุดเริ่มต้นธุรกิจนางสาวิตรี ซิ้มสมบูรณ์ กรรมการบริษัท และนายธวัชชัย ซิ้มสมบูรณ์ รองกรรมการบริษัท คิดว่าตาลโตนดเป็นสินค้าประจำจังหวัดสงขลาอยู่แล้ว และจากที่ทั้งสองเคยเป็นพนักงานเกี่ยวกับธุรกิจกาแฟมานาน จึงเกิดความคิดอยากทำธุรกิจของตัวเองโดยผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าไป เกิดเป็นกาแฟน้ำตาลโตนดครั้งแรก
เมื่อปีที่แล้ว ได้เข้าร่วมโครงการฯ และมีการปรับเปลี่ยนแพคเกจจิ้งใหม่ ให้ภาพดูพรีเมี่ยมมากขึ้น และเทคนิควิธีการลดความชื้น และการตั้งราคาสินค้า นอกจากนี้นายธวัชชัย เกิดไอเดียความคิดทำกาแฟทุเรียน เพราะเป็นผลไม้ที่โดดเด่นของภูมิภาค ซึ่งไม่ได้ใส่แค่กลิ่นเท่านั้น แต่เป็นกาแฟทุเรียนที่มีเนื่้อทุเรียนด้วย (Durian Dried Freeze) รสชาติกลมกล่อม และยังคงใช้น้ำตาลโตนดเป็นส่วนประกอบเช่นเดิม ผลตอบรับดีมาก และมีการส่งออกไปประเทศจีนอีกด้วย ส่วนในประเทศไทยมีวางจำหน่ายใน Modern Trade
นายธวัชชัย ซิ้มสมบูรณ์ กล่าวเสริมว่า อยากให้คนไทยได้บริโภคสินค้าไทยที่มีคุณภาพ เพราะน้ำตาลโตนดจะไม่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน การดูดซึมน้ำตาลจะน้อยกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ และเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นด้วย และหลังจากที่ได้เข้าร่วมกับโครงการแล้ว ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 30-40% โดยเป็นการส่งออก 30% และในประเทศ 70% คาดว่าปีนี้จะทำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ท้องตลาด 1 อย่าง และคาดหวังรายได้เพิ่มขึ้น 50%
2. บริษัท เซาท์เทอร์น ซีฟูด โปรดักส์ จำกัด : ผู้จำหน่ายอาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง อาหารทะเลแช่แข็ง อาหารทะเลอบแห้ง และผลิตภัณฑ์อาหารทะเลพร้อมรับประทาน และนำเข้าปลาทูจากประเทศอินเดีย ปลาซาบะจากประเทศญี่ปุ่น
บริษัท เซาท์เทอร์น ซีฟูด โปรดักส์ จำกัด ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 และทำธุรกิจอาหารแช่แข็งส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก มีจำหน่ายในประเทศไทยบ้าง แต่ด้วยสภาวะที่ชะลอตัวของธุรกิจส่งออก เนื่องจากปัญหาด้านภาษี การจ้างงาน จึงทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
นายสุเทพ ไชยธานี กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า จากสภาวะชะลอตัวของธุรกิจ จึงเกิดความคิดต้องการทำสินค้าเพื่ออนาคต โดยใช้นวัตกรรมเข้ามาเป็นตัวช่วยมากขึ้น และต้องการหากลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆในตลาด จึงเกิดการพัฒนาไปสู่หมวดอาหารสำเร็จรูป ภายใต้ชื่อ ” Ajiko” ที่มีความหมายว่าทานอร่อย ปลอดภัย เป็นอาหารประเภททานเล่นก็ได้ เป็นกับข้าวก็ได้ โดยใช้วิธีอบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และนำมาย่างโดยใช้กรรมวิธีทันสมัย และพัฒนาเว็บไซต์ www.southernseafood.com เพื่อตอบสนองกับเทรนด์ผู้บริโภคปัจจุบัน
บริษัทฯ เพิ่งเริ่มเข้าร่วมโครงการ และคาดหวังว่าจะได้รับคำแนะนำด้านการตลาดแบบ B2C เพราะไม่มีความถนัดด้านนี้เลย ประกอบกับต้องการพัฒนาการผลิตและแพคเกจจิ้ง ” Ajiko ” ด้วย
โดยสรุปนายวชิระ แก้วกอ กล่าวว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นเรื่องของการทำตลาด การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การบริหารจัดการ ต้นทุนการผลิต การเงินการบัญชี ที่ทำให้เกิด GAP ช่องว่างที่ทำให้หมุนเวียนเงินไม่ทัน การให้เครดิตผู้ซื้อ เป็นต้น ทั้งนี้ภายใต้การดำเนินโครงการดังกล่าว จะช่วยพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้มีศักยภาพและความสามารถในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น ต่อยอดการยกระดับมาตรฐานสินค้าให้เป็นสากล พัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆมาเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ ยกระดับให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเป็น SME 4.0 เป็นต้นแบบให้กับเอสเอ็มอีในจังหวัดและนำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับจังหวัดต่อไป