ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‘หัวเว่ย’ (Huawei) เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าจับตามองสำหรับการเข้ามาเล่นในตลาดสมาร์ทโฟน เพราะนอกจากจะประสบความสำเร็จและเป็นผู้นำในตลาดประเทศจีนแล้ว ผลตอบรับจากผู้บริโภคทั่วประเทศก็ทำให้หัวเว่ยก้าวขึ้นมาครองอันดับ 3 ของแบรนด์สมาร์ทโฟนได้สำเร็จภายในระยะเวลาไม่นาน ด้วยอัตราการเติบโตด้านยอดขายที่แข็งแกร่งและการขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้หัวเว่ยกว้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ของโลก จากการวิจัยโดย IPSOS ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดชั้นนำของโลก ระบุว่า การจดจำในแบรนด์หัวเว่ยของผู้บริโภคทั่วโลกเพิ่มขึ้น 81% ในปี 2016 โดยเติบโตขึ้นจาก 76% ในปี 2015 ความสำเร็จของแบรนด์หัวเว่ยนั้นสะท้อนให้เห็นชัดเจนจากข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภค อาทิ การคิดคำนึงถึงแบรนด์หัวเว่ยและความพึงพอใจในแบรนด์หัวเว่ยของลูกค้าในต่างประเทศมีเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญราว 66.7% และ 100% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2015
เส้นทางสู่การพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยการลงทุนและการสร้างพันธมิตร
โดยเบื้องหลังความสำเร็จนี้มาจากการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาฟีเจอร์และเทคโนโลยีซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์หัวเว่ยเป็นที่ต้องการอย่างสูงในตลาด หัวเว่ยจัดสรรเงินลงทุนจำนวน 10% ของยอดขายในแต่ละปีในการวิจัยและพัฒนาเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ใช้งานสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม นอกจากนี้หัวเว่ยยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนา (Research & Data) 16 แห่งตั้งกระจายอยู่ทั่วโลก
ในสมาร์ทโฟนรุ่นแฟล็กชิพอย่างซีรีย์ P และ Mate หัวเว่ยได้จับมือกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Leica และPorsche Design ซึ่งสร้างขึ้นและต่อยอดจากแนวคิดของแบรนด์หัวเว่ย ขณะเดียวกันก็สร้างพลังดึงดูดด้วยการผสานกับผู้นำในด้านต่าง ๆ การจับมือกับพันธมิตรเหล่านี้ส่งผลดีอย่างยิ่งต่อการสร้างการรับรู้ให้แบรนด์หัวเว่ย ชื่อของหัวเว่ยได้รับการยอมรับและเข้าไปสู่รายชื่อ แบรนด์ทรงอิทธิพลของสถาบันระดับโลกหลายแห่ง ในปี 2016 หัวเว่ยได้รับการจัดให้อยู่อันดับ 72 ในรายชื่อ 100 Best Global Brands ซึ่งจัดโดย Interbrand เป็นปีที่สอง และได้อันดับ 50 ใน BrandZ Top 100 Most Valuable Global Brands ความสำเร็จในการสร้างแบรนด์นี้ยังเห็นได้จากยอดขายทั่วโลก ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความชื่นชอบที่ผู้ใช้มีต่อสมาร์ทโฟนหัวเว่ย
เบื้องหลังสมาร์ทโฟนจากหัวเว่ยและความใส่ใจในคุณภาพ
ในด้านการตรวจสอบคุณภาพ หัวเว่ยมีห้องแล็บสำหรับทดสอบคุณภาพของสินค้าให้เป็นไปตามมาตราฐานอุตสาหกรรมที่ทันสมัยมากที่สุดในวงการ สำหรับการทดสอบคุณภาพความทนทานในเชิงเทคนิค สมาร์ทโฟนตัวอย่างจะต้องผ่านการทดสอบ drum test หรือการตกกระแทกเป็นพันๆ ครั้ง ผ่านการทดสอบการบิดตัวมากกว่า 500 ครั้ง ผ่านการทดสอบความทนทาน (stress test) เมื่อถูกกดทบด้วยน้ำหนักขนาด 70 กิโลกรัม และทดสอบความทนทานของซอฟต์แวร์อีก 2,000 ครั้ง ในด้านความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เครื่องตัวอย่างจะต้องผ่านการทดสอบความทนทานต่อแสงแดดนานกว่า 72 ชั่วโมง ผ่านการทดสอบความทนทานเมื่อต้องเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมเช่นจากร้อนเป็นหนาวกลับไปกลับมา 48 ชั่วโมงต่อกัน ทนละอองน้ำเค็มได้นาน 8 ชั่วโมง ทนความร้อนชื้น การสั่นสะเทือน และความทนทานต่อการสึกหรอ ส่วนการทดสอบความทนทานตลอดอายุการใช้งาน เครื่องตัวอย่างจะถูกนำไปทดสอบการเสียบต่อหูฟัง 5,000 ครั้ง และการต่อเชื่อมกับยูเอสบี 10,000 ครั้ง มาตรฐานการทดสอบเหล่านี้ถือว่าสูงกว่ามาตรฐานทั่วไปของอุตสาหกรรมการผลิตสมาร์ทโฟน ซึ่งโดยปกติแล้วจะทดสอบแค่การตกกระแทก การทนความร้อน การใช้งานหน้าจอทัสสกรีน และการทดสอบสเป็กคลื่นความถี่วิทยุเท่านั้น
หัวเว่ยยังได้ทดสอบปลั๊กหูฟัง ช่องต่อสายชาร์จ และช่องใส่ซิมการ์ดเองด้วย ในขณะที่โดยทั่วไปแล้วหน่วยงานอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน จะเป็นผู้ทดสอบ การที่สมาร์ทโฟนผ่านทุกการทดสอบสุดโหดเหล่านี้ได้ ทำให้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยผ่านทุกมาตรฐานของผู้ให้บริการระบบชั้นนำทุกรายในโลก รวมถึงเอทีแอนด์ที ในสหรัฐอเมริกา ในด้านระบบการบริหารคุณภาพ สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยผ่านมาตรฐานที่ได้ชื่อว่าเข้มงวดที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นก็ตาม และสมาร์ทโฟนทั้งหมดของหัวเว่ยก็ผ่านการทดสอบความปลอดภัยจากการแผ่รังสี และเป็นไปตามมาตรฐานของคณะกรรมการการสื่อสารแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาหรือ FCC ด้วย
ในส่วนของประเทศไทยนั้นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตสูงของสมาร์ทโฟนหัวเว่ยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากหัวเว่ยจะรุกสร้างแบรนด์และขยายช่องทางจัดจำหน่ายแล้ว การพัฒนาบริการหลังการขายก็เป็นสิ่งที่หัวเว่ยให้ความสำคัญและพัฒนาตลอดมา เพราะนอกจากคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานนั้น การบริการหลังการขายเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ลูกค้าอุ่นใจในการใช้สินค้าและมั่นใจในแบรนด์มากขึ้น หัวเว่ยจัดโปรแกรมมอบการรับประกันเครื่องนาน 2 ปีให้แก่ลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากขึ้น ล่าสุดหัวเว่ยเปิดศูนย์หัวเว่ย โอเพ่นแล็ป แบงค์กอก (Huawei OpenLab Bangkok) ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ แห่งแรกในประเทศไทยและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย กล่าวโดยสรุป “คุณภาพและการรับฟังลูกค้า” จึงเป็นเสมือนดีเอ็นเอของหัวเว่ยในการสร้างสรรค์สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สำหรับระบบเครือข่ายต่างๆ และเป็นสิ่งที่ทำให้หัวเว่ยเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป
ที่มา : หัวเว่ย