ถือได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงส่งไม้ต่อจากทายาทรุ่น 2 อย่างคุณพ่อ “นกเขา” สงกรานต์ อิสสระ ไปสู่รุ่น 3 ให้แก่ลูกชายทั้งสองคนคือ “ปลาวาฬ” วรสิทธิ์ อิสสระ และ “ปลาทู” ดิฐวัฒน์ อิสสระ เพื่อเข้ามาดูแลและสานต่ออาณาจักรในเครือชาญอิสสระที่กำลังแผ่ขยายและเติบโตอย่างยาวนานมากว่า 6 ทศวรรษแล้ว
หลายคนอาจจะมองว่าเป็นสูตรสำเร็จของตระกูลนักธุรกิจที่ร่ำรวย หรือคนที่เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต ในการส่งไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อให้สามารถสืบทอดธุรกิจตราบเท่าที่จะนานได้ แต่นั่นคือสิ่งที่ตรงข้ามกับวิธีคิดของพ่อที่ชื่อ “สงกรานต์ อิสสระ” โดยสิ้นเชิง
“เราไม่เคยคาดหวังว่าลูกต้องมาสานต่อกิจการ เราไม่เคยบังคับลูก แต่จะปล่อยไปตามธรรมชาติ ให้เขาได้เรียนรู้ชีวิต ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ หรือถ้าเขาคิดอยากมาช่วยงานของที่บ้านก็ต้องมาด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะหน้าที่หรือถูกบังคับ เพราะเรื่องแบบนี้บางครั้งก็เป็นเหมือนพรหมลิขิต เราไม่สามารถกำหนดได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ การทำหน้าที่ของพ่อให้ดี ทำให้ลูกมีความสุขที่สุด ด้วยการมอบสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิตให้แก่เขา ให้การศึกษาที่ดี และพยายามสอดแทรกเรื่องคุณธรรมต่างๆ เพื่อให้เขาซึมซับสิ่งดีงามเหล่านี้อยู่เสมอ” และนี่คือวิธีคิดของพ่อในแบบฉบับ สงกรานต์ อิสสระ
มาวันนี้ ลูกชายทั้งสองคน ปลาวาฬและปลาทู ต่างเข้ามาสานต่องานของพ่อแล้วทั้งคู่ โดยปลาวาฬคนพี่ รับผิดชอบโครงการระดับ World Class ที่ชื่อว่า “ศรีพันวา ภูเก็ต” ส่วนปลาทูคนน้องดูแลงานในเครือชาญอิสสระอยู่ที่กรุงเทพฯ ขณะที่ลูกสาวอย่าง “ปลาเข็ม” กรัชเพชร อิสสระ เลือกที่จะทำงานดีไซน์เนอร์ในแบบฉบับที่ตัวเองชื่นชอบ
จะว่าไปคู่พ่อลูกอย่าง สงกรานต์ และ ปลาวาฬ มีหลายสิ่งที่เหมือนกัน ตั้งแต่เกิดวันที่ 14 เมษายนเหมือนกัน เลือกที่จะทำธุรกิจในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน โดยผู้เป็นพ่อเปิดตัวด้วย โครงการชาญอิสสระ1 หนึ่งในแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ส่วนลูกก็สามารถสร้างให้ ศรีพันวา ภูเก็ต กลายเป็น Tourist Destination อีกหนึ่งแห่งของโลกได้อย่างสวยงามเช่นเดียวกัน
วิธีคิดในการดูแลลูกและครอบครัวของสงกรานต์ ยังสะท้อนมาเป็นสไตล์ในการทำธุรกิจของกลุ่มชาญอิสสระ ซึ่งมีแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลายเป็นวิถีในการทำธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความสุขของพนักงานและคนในองค์กรเหมือนกับคนในครอบครัว ทำให้พนักงานส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหม้อที่ทำงานกันมายาวนานหลายสิบปี
กลุ่มชาญอิสสระยึดปรัชญาองค์กรในการทำงาน ภายใต้หลัก 3 ส. ซึ่งประกอบด้วย
– สัจจะเป็นหลัก การทำธุรกิจต้องอยู่บนพื้นฐานความจริงใจ ซื่อสัตย์ โปร่งใส เพื่อให้คู่ค้าและลูกค้า มีความเชื่อมั่น และไว้ใจจึงจะทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืน
– สามัคคีเป็นเลิศ ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม ที่จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า
– สุขภาพยิ่งใหญ่ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ เพราะเป้าหมายทางธุรกิจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเป้าหมายในชีวิต จึงได้จัดสถานที่สำหรับออกกำลังกายให้พนักงาน รวมทั้งการฝึกอบรมจิต นั่งสมาธิทุกๆ สัปดาห์ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงทั้งกายและใจ เพื่อให้มีพลังในการทำงานอย่างมีความสุข
เมื่อลองถาม “ปลาวาฬ” ว่าหลักปรัชญาของผู้เป็นพ่อนี้เชยหรือยัง ก็ได้คำตอบว่า “ไม่เชย” เพราะในการบริหารงานที่ศรีพันวา ภูเก็ต ก็นำหลักปรัชญานี้ไปดูแลพนักงานแบบเดียวกัน เพราะสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพ่อคือ วิธีการบริหารงานและการดูแลคน จึงได้นำวิธีการที่พ่อใช้ไปดูแลคนของตัวเองด้วย รวมทั้งในฐานะคุณพ่อที่มีลูกสาวเช่นกัน ก็ได้นำแบบอย่างวิธีการเลี้ยงลูกไปใช้ด้วย โดยเฉพาะการไม่บังคับ มีกรอบ แต่ไม่ขีดเส้น เพื่อให้ลูกมีความสุขและเป็นคนดี
เมื่อส่งไม้ต่อ ต้องไว้ใจและเปิดกว้าง
ความคิดของสงกรานต์คือ เมื่อมอบโอกาสให้ลูกได้บริหารงานแล้ว ความไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวลูกเป็นเรื่องสำคัญ การปล่อยให้ลูกมีวิธีการทำงานใหม่ๆ สร้างทีมงานใหม่ๆ อาจทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตและแข็งแรงมากกว่าที่เคยผ่านมา เหมือนในช่วงที่ปลาวาฬแนะนำพ่อให้เก็บพื้นที่บางส่วนในโครงการศรีพันวาเพื่อทำโรงแรม ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยทำมาก่อน เพื่อให้ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในโครงการอยู่ และยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ ทำให้โครงการมีชีวิตชีวา คนที่อยู่ในโครงการมีความสุขมากขึ้นด้วย และเป็นจุดที่ทำให้สามารถก้าวเข้ามาในธุรกิจใหม่ได้อย่างแข็งแรง
ขณะที่ทีมงานซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ก็มีความสดใส บริหารงานในแบบฉบับของตัวเอง ทำให้ลูกบ้านหรือผู้เข้ามาพักสัมผัสได้ถึงความจริงใจ และเต็มใจที่จะให้บริการ สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเข้าพัก ซึ่งผลงานในการบริหารของปลาวาฬทำให้ผู้เป็นพ่อมีความภาคภูมิใจ เพราะโครงการศรีพันวา ภูเก็ต ที่ใช้เม็ดเงินในลงทุนรวมทั้งสิ้น 140 ล้านบาท แต่สร้างยอดขายได้มากกว่า 6 พันล้านบาท และทำผลกำไรให้บริษัทได้ถึงปีละ 2 พันล้านบาท รวมทั้งสร้างชื่อให้ได้รับการยอมรับในต่างประเทศ จนมีผู้มาติดต่อให้ไปดูแลบริหารงานโรงแรมในต่างประเทศ เป็นการต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตได้ในระดับภูมิภาค และในระดับโลกได้ในอนาคต
สงกรานต์เล่าย้อนถึงช่วงที่ตัวเองเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า ในช่วงนั้น Gap ระหว่างตัวเองและพ่อคือ คุณชาญ อิสสระ มีมากกว่าตัวเขาและลูก เพราะเข้ามาทำธุรกิจช่วงอายุ 26 ปี ขณะที่พ่ออายุ 70 ปีแล้ว ประกอบกับคุณพ่อคุ้นเคยระบบการทำงานในแวดวงที่ไม่ค่อยมีคู่แข่งมาก และส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการ จึงอยากให้ลูกมาสานต่อธุรกิจเดิมที่ทำ แต่ด้วยความเชื่อมั่นและมีความตั้งใจตั้งแต่อายุ 15 ปี ในช่วงที่ไปเรียนในอเมริกาว่าอยากสร้างบ้านหรืออาคารที่สวยงาม จึงยืนยันที่จะทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อ และสามารถพิสูจน์ตัวเองจนประสบความสำเร็จขึ้นมาได้
“สมัยนี้เป็นสมัยของลูก ถามเด็กสมัยนี้เขาจะรู้จักศรีพันวามากกว่าชาญอิสสระ รู้จักปลาวาฬมากกว่าสงกรานต์ แม้วันนี้เราจะวางมือไป ก็เชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินต่อไปได้ ที่ภูเก็ตมีปลาวาฬดูแล ที่กรุงเทพฯ มีปลาทูดูแล เราเชื่อมั่นในตัวลูก ว่าจะสามารถขับเคลื่อนกันต่อไปได้ แต่เราเป็นคน Work Hard Play Hard ชอบที่จะทำงาน และมองว่าเรื่องของการท่องเที่ยวกับการทำงานเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้เรายังสนุกกับการที่จะทำงานอยู่”
ในหนังสือ “คิดนอกกรอบ ทำในกรอบ” ที่สงกรานต์เป็นผู้เขียน ยังได้พูดถึงลูกชายทั้งสองคนของเขาด้วยว่า “ลูกน้องตัวแสบของผมคือสองหนุ่มนี่แหละ ผมให้การศึกษาเขาอย่างดีที่สุด สอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้ให้แก่เขา แชร์ประสบการณ์ดีๆ กับเขามาโดยตลอด หากแต่ผมไม่เคยคาดหวังให้ลูกมาช่วยงานบริษัทเรา เพราะเราคือ “อิสสระ” แต่เมื่อลูกทั้งสองคนเรียนจบก็เข้ามาช่วยให้กิจการต่างๆ ก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง ปลาวาฬทำโรงแรมศรีพันวาจนโด่งดัง ทำให้เราสามารถหยั่งรากลึกลงในธุรกิจโรงแรมอย่างมั่นคง ปลาทูก็ช่วยพัฒนาโครงการต่างๆ ตลอดจนดูแลเรื่องของการออกแบบดีไซน์จนบริษัทได้รับรางวัลมากมาย ผมดีใจและภูมิใจนะครับ แต่บางครั้งก็เพลียใจเพราะพนักงานสองคนนี้เถียงผมมากอย่างที่ไม่มีพนักงานคนใดทำ”
สงกรานต์ ยังทิ้งท้ายถึงสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต 4 อย่าง ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นคนที่รักครอบครัวและรับผิดชอบต่อหน้าที่ในฐานะนักธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยทั้ง 4 ข้อ ประกอบไปด้วย
1.ความรักจากพ่อและแม่ ที่ดูแลเขามาเป็นอย่างดี และทำให้ประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้
2.ความรักจากภรรยา คุณจุ๋ง ศรีวรา อิสสระ (สวัสดิ์ ชูโต) ที่เป็นคู่คิดและเคียงข้างมาโดยตลอด
3.การเห็นความรัก ความสามัคคีกันของลูกๆ ทั้งสามคน “ปลาวาฬ –ปลาทู –ปลาเข็ม”
4.ในช่วงเกิดวิกฤตธุรกิจทำให้บริษัทมีภาระหนี้สูงถึง 2-3 พันล้าน แต่สุดท้ายก็สามารถชำระหนี้ก้อนโตนี้คืนได้ทั้งหมด