“ตลาดน้ำดื่ม” หนึ่งในตลาดใหญ่ของ Soft Drink หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เพราะเป็นตลาดที่มี Demand สูง เนื่องจากมีปัจจัยบวกสนับสนุน ทั้งเทรนด์สุขภาพ, สภาพอากาศร้อน, ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น และต้องการความสะดวกสบาย ส่งผลให้ “น้ำดื่ม” เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง ไม่น้อยไปกว่าตลาดชาเขียว น้ำอัดลม หรือ Soft Drink อื่นๆ
ปัจจุบันมี 2 ผู้นำตลาดที่ไล่บี้กันไปมา “สิงห์” รุ่นพี่ที่อยู่ในตลาดมานาน และครองตำแหน่งแชมป์ติดต่อกันยาวนาน 25 ปี หลังจากที่ “โพลาริส” น้ำดื่มแบรนด์แรกของไทยถอนตัวออกจากตลาด (ปัจจุบันโพลาริส ได้หวนคืนสู่ตลาดอีกครั้ง) โดยมาพร้อมกับสโลแกน “น้ำดื่มสะอาด น้ำดื่มตราสิงห์” ที่ตอกย้ำต่อเนื่อง จนสามารถยึดครองจุดขายดังกล่าวได้สำเร็จ เรียกได้ว่าถ้าเอ่ยถึง “น้ำดื่มสะอาด” ผู้บริโภคจะ Remind ทันทีว่าเป็นดื่มสิงห์
ขณะที่อีกแบรนด์ท้าชิง “คริสตัล” จากค่ายเสริมสุข แม้จะทำตลาดหลังน้ำดื่มตราสิงห์ แต่ด้วยสรรพกำลังทั้งด้านการผลิต และระบบจัดจำหน่าย บวกกับความพยายามสร้าง “ความแตกต่าง” จากแบรนด์ในตลาด ด้วยการชูมาตรฐานการผลิต NSF จากสหรัฐอเมริกา ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน สามารถติดอันดับ Top 3 ของตลาดได้สำเร็จ ยิ่งการอยู่ภายใต้ชายคา “กลุ่มไทยเบฟ” ที่ใช้นโยบาย Synergy บริษัทในเครือด้วยกัน เป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ “คริสตัล” ไล่บี้ “สิงห์” ได้อย่างสูสี
กระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “คริสตัล” ได้เผยข้อมูลส่วนแบ่งการตลาดของเดือนมิถุนายน ขยับเพิ่มขึ้นจาก 19.6% เป็น 21.5% ขณะที่อันดับสอง อยู่ที่ 19.9% และอันดับสาม 3 มีส่วนแบ่งการตลาด 12.1%
นั่นเท่ากับว่าเวลานี้ “คริสตัล” ได้ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดน้ำดื่ม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่ทำตลาดมา (อ่านข่าวคริสตัลเพิ่มเติม ที่นี่)
“สิงห์” ลั่น “น้ำดื่มตราสิงห์” ยังเป็นผู้นำ!!
ความเคลื่อนไหวล่าสุด “สิงห์” ได้ออกมาตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดน้ำดื่ม 25 ปี ด้วยการเติบโตด้านยอดขาย และส่วนแบ่งการตลาด ที่มาจากการเปิดตัวแคมเปญ “A PART OF YOU น้ำดื่มสิงห์เท่านั้นที่เราเลือก” และความแข็งแกร่งทางด้าน Distributor ของกลุ่มบุญรอดฯ ที่กระจายสินค้าครอบคลุมทุกช่องทาง ประกอบกับการมีบรรจุภัณฑ์สินค้าที่หลากหลาย
คุณธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มตราสิงห์ เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจน้ำดื่มตราสิงห์ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) มีอัตราการเติบโตตามเป้าหมาย โดยยอดขายในช่วงซัมเมอร์มีอัตราเติบโต 12% จากการเปิดตัวแคมเปญ “A PART OF YOU น้ำดื่มสิงห์เท่านั้นที่เราเลือก” ด้วยการดึงตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันเข้ามาเป็น Influencer 5 คน ได้แก่ “วี วิโอเล็ต วอเทียร์” นักร้องนักแสดง “ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์” นักเขียนบท ผู้กำกับภาพยนต์ “เบเบ้ ธันย์ชนก ฤทธินาคา” อาจารย์ นักแสดงและเน็ตไอดอล รวมทั้ง 2 หนุ่มแห่งวงเซาท์ไซด์” (Southside) “ทูพี(2P) พิทวัส พฤกษกิจ” และ “ดีเจต๊อบ(DJ Tob) ณภัทร เหล่าพลายนาค แรปเปอร์ที่กำลังมาแรง มาร่วมสื่อสาร บอกเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจ ส่งผลให้แบรนด์เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นฐานลูกค้าในตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด
ขณะเดียวกันบริษัทได้เพิ่มการผลิตน้ำดื่ม 1 สายการผลิต ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้มีกำลังผลิตเพิ่ม 20% จากปัจจุบันมี 8 โรงงาน ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค อาทิ เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา ขอนแก่น มหาสารคาม และ สุราษฎร์ธานี รองรับกับช่วงซัมเมอร์ซึ่งตลาดน้ำดื่มเติบโต 50%
“ด้วยความแข็งแกร่งทางด้าน Distributor ของกลุ่มบุญรอดฯ ที่กระจายสินค้าได้ครอบคลุมทุกช่องทาง ประกอบกับการมีบรรจุภัณฑ์สินค้าที่มีความหลากหลาย สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าทั้งอยู่ในบ้านและใช้ชีวิตนอกบ้าน ขณะเดียวกันบริษัทได้ต่อยอดจากการใช้ influencer ด้วยการทำกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ และฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่มีรูป influencer ออกจำหน่ายเอาใจแฟนคลับ และการทำฉลากพิเศษ Tailor Made ด้วยการนำรูปของผู้บริโภคลงบนฉลากน้ำดื่มสิงห์ รวมทั้งสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลมีเดีย ทำให้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ล้วนเป็นปัจจัยให้น้ำดื่มสิงห์ครองส่วนแบ่งได้ 23% ในช่วงครึ่งปีแรก ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดครองตลาดอย่างยาวนาน 25 ปี”
สำหรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง น้ำดื่มสิงห์ เตรียมเปิดตัวแคมเปญออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยตลาดน้ำดื่มมูลค่า 4.3 หมื่นล้านบาท หรือในเชิงปริมาณ 4,000 ล้านลิตร ในช่วงครึ่งปีแรกเป็นเครื่องดื่มที่เติบโตมากที่สุดในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ จึงประมาณการว่าทั้งปี ตลาดมีอัตราเติบโต 10-12% สำหรับปัจจัยผลักดันให้ตลาดน้ำดื่มเติบโต เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพยิ่งขึ้น และจากการทำตลาดในเชิงรุก น้ำดื่มสิงห์มั่นใจว่าครองส่วนแบ่งเพิ่มจาก 23% เป็น 25% ด้วยการมีรายได้เติบโต 16%
