ในปี 2559 ที่ผ่านมา ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจนนิตยสารหลายเจ้าต้องปิดตัวลง นิตยสารถูกจัดให้เป็น “สื่อเก่า” ที่กำลังถูกแทนที่ด้วยสื่อออนไลน์ซึ่งถูกมองว่าเป็น “สื่อใหม่” ที่ช่วงชิงคนอ่านและเงินค่าโฆษณาไป อย่างไรก็ตาม ในสภาวการณ์เช่นนี้ DONT Magazine คือนิตยสารที่ปรับตัวจนผ่านพ้นวิกฤตของสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยการหันมาผลิตคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอโปรดักชั่นเพื่อรองรับกระแสการทำโฆษณาที่เปลี่ยนไปของแบรนด์ต่างๆ
ศรัณย์ ตั้งเทวนนท์ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา บริษัท แอมบิเชียส จำกัด เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทประสบปัญหาเช่นกันทำให้ยอดโฆษณาลดลง 20–30% ปีนี้จึงได้ปรับแผนการดำเนินงานใหม่และแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ธุรกิจหลัก คือ 1.รายได้จากการจัดอีเวนต์แบบ on–ground activity และแบบ custom made ตามที่สปอนเซอร์สนใจ 20% 2.รายได้โปรดักชั่นแบบวิดีโอ 20% และ 3.รายได้จากนิตยสารและหนังสือพิมพ์ 60% ซึ่งหลังผ่านครึ่งปีแรกของปี 2017 นี้พบว่าทำรายได้มากกว่าปีที่ผ่านมาทั้งปีรวมกัน
สำหรับจุดเปลี่ยนของ DONT Magazine นั้น เกิดขึ้นในฉบับครบรอบ 6 ปี หลังจากได้คำตอบว่า “คอนเทนต์วิดีโอ” เป็นก้าวต่อไป จึงลองนำเสนอไอเดียกับสปอนเซอร์แบรนด์หนึ่ง ที่ต้องการนำนักแสดงและพิธีกร 6 คนมาขึ้นปกและผลิตวิดีโอคลิป 6 ชิ้น ในรูปแบบที่ยกระดับการผลิตจากวีดิโอเบื้องหลังเป็นโปรดักชั่นที่จริงจังและมีเส้นเรื่องกำกับชัดเจนขึ้น
“สำหรับเรา ก้าวแรกในคอนเทนท์วีดิโอถือว่าประสบความสำเร็จมาก ตัววีดิโอสามารถทำ reach ได้เยอะ มี 1,500 แชร์ ออร์แกนิกรีชรวมอยู่ที่ 1 ล้านรีช ทำให้สปอนเซอร์รายอื่นสนใจอยากร่วมงานกับเรามากขึ้น ทั้งสินค้าความงาม แฟชั่น หรืออสังหาริมทรัพย์ก็มี เราก็พร้อมปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับการนำเสนอ ถือเป็นจุดต่างในเรื่องการขายสื่อโฆษณา เรามีทั้งสื่อในมือ ทีมดูแลโปรดักชั่น แผนกครีเอทีฟ สื่อนอกบ้าน สื่อนิตยสาร สื่อออนไลน์ แล้วก็กิจกรรมอีเวนท์ เราพยายามทำให้ครบ 360 องศา”
ฤกษ์ อุปมัย บรรณาธิการบริหาร บริษัท แอมบิเชียส จำกัด กล่าวเสริมว่าบริษัทต้องการศึกษาทิศทางของกิจกรรมออนไลน์ในตลาดตลอดปี 2559 ให้มั่นใจก่อน จึงยังไม่ได้ขยับตัวทันทีเมื่อเทรนด์สิ่งพิมพ์ตกลงอย่างกะทันหัน พอเริ่มทำจริงจังก็พบว่าสื่อที่มีอยู่ในเครือและเนื้อหาออนไลน์นั้น หากมีแนวคิดเดียวกันได้และสามารถทำให้มันเป็นก้อนความคิดที่แข็งแรง มันก็จะสามารถแตกเป็นรูปแบบของการสื่อสารได้แบบต่างๆ ได้
“เมื่อก่อนสิ่งพิมพ์ถูกให้ความสำคัญมากเกินไป ท้ายที่สุดพอเทรนด์มันตกก็กลายเป็นว่าหลายๆ คนอาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทัน การทำวิดีโอจริงๆ ในวงการนิตยสารก็ทำมาตั้งนานแล้ว เช่น เบื้องหลังการถ่ายแฟชั่น เพียงแต่ว่ามันไม่ถูกให้ความสำคัญในฐานะอีกหนึ่งสื่อแค่นั้นเอง จนกระทั่งคนมาบอกว่าเทรนด์จะเปลี่ยน พอไม่เห็นศักยภาพของมันในตอนแรก ก็อาจจะมองไม่ออกว่าเราต้องจะทำอะไรต่อ”
เมื่อตระหนักถึงทรัพยากรที่มีอยู่ บริษัทได้พยายามปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมและรสนิยมการรับข้อมูลและเสพสื่อที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ฤกษ์มองว่าความสำเร็จของการรุกออนไลน์ของบริษัท น่าจะมาจากการมุ่งศึกษาตลาด เก็บข้อมูล สร้างความเข้าใจกับทีมงานให้พร้อมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ซึ่งส่วนตัวเขามองว่า คนที่ทำสิ่งพิมพ์นิตยสารเองก็เป็นคนที่ใช้สื่อออนไลน์เช่นกัน ฉะนั้นหากพวกเขามีไอเดีย ก็จะสามารถสื่อสารเนื้อหาออกมาได้ไม่ยาก
“เราจะไม่โกหกตัวเองว่าเราสามารถทำได้ทุกอย่าง มันจะมีทิศทางงานที่เราถนัดอยู่ ก็โฟกัสและพยายามยกระดับมันไป ในขณะเดียวกัน ในฐานะคนทำคอนเทนต์เราก็ต้องมองจากมุมกลับ จากคนเสพเปลี่ยนเป็นคนทำ วิดีโอแบบไหนคนจะรู้สึกอย่างไรและอยากดูไหม แล้วถ้าเป็นเราเราจะดูหรือเปล่า ไม่ดูถูกคนดู”
แต่ฤกษ์ก็ย้ำว่า ถึงจะให้เวลากับสื่อออนไลน์มากขึ้น แต่ DONT Magazine และ DONT Journal ก็ยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจหลัก บริษัทยังคงรักษามาตรฐานการผลิตสิ่งพิมพ์และพัฒนาคุณภาพอยู่เสมอ
“จุดแข็งของ DONT Magazine คือการทำให้น่าสะสมมากขึ้น คอนเทนต์ต้องดีและมีจุดยืนที่แตกต่าง เราใช้วิธีการกระตุ้นให้เกิดความสนใจทางออนไลน์ กระจายให้คนเห็นเพื่อให้คนอยากได้ตัวเล่มเพื่อเป็นของสะสม และเสน่ห์ของการได้ครอบครองนี่แหละที่ออนไลน์ให้ไม่ได้จริงๆ ส่วน DONT Journal เป็นโปรโมชันนัลมีเดียที่คุณต้องได้อะไรบางอย่างจากหนังสือเล่มนี้ อย่างเช่น ส่วนลดพิเศษ หรือข่าวอัพเดทสั้นๆ ที่เป็นประโยชน์ สปอนเซอร์จึงยังสนใจลงโฆษณาอยู่” ศรัณย์กล่าวเสริม
ฤกษ์กล่าวต่ออีกว่า “ปัจจุบัน DONT Magazine มีขนาดราวขนาดกระดาษ A3 เป็นขนาดที่อุปกรณ์ดิจิตัลพกพายังให้ไม่ได้ในปัจจุบัน เป็นการเติมเต็มประสบการณ์การอ่านที่คนยังต้องการ พอมีทั้งสื่อดิจิตัลและสื่อสิ่งพิมพ์ ก็เป็นโอกาสสำคัญในการนำไอเดียที่มีอยู่ในหัวเราออกมาด้วยรูปแบบการสื่อสารที่หลากหลายและครบถ้วนขึ้น”
“ผมเชื่อว่าฟรีก๊อปปี้จะยังไม่ตาย เพราะเทรนด์การอ่านนิตยสารในเมืองนอกก็ยังมีอยู่ ส่วนอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในวันนี้คือคนทำงาน ธุรกิจสื่อมันขับเคลื่อนด้วยคน ถ้าเกิดคนไม่พร้อม เราปรับให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ยาก เราต้องทำงานให้หลากหลายได้มากขึ้น ฝ่ายอีเวนต์ต้องรู้จักทำโรดโชว์ด้วย ฝ่ายกองบรรณาธิการต้องสามารถข้ามมาทำฝั่งออนไลน์ได้ด้วย แม้ในช่วงแรกจะมีอุปสรรคบ้าง และสำหรับอนาคตของสื่อสิ่งพิมพ์ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวน จะเหลือเพียงเจ้าที่แข็งแรงและคุณภาพดีจริงๆ” ศรัณย์กล่าวเพิ่มเติม
“ทุกวันนี้กล้าพูดว่า DONT ก็ยังเป็นหนึ่งในนิตยสารที่ตั้งใจทำที่สุดอยู่ดี แต่ที่เรามองว่าดีแล้วมันอาจยังดีไม่พอ การพยายามผลักดันมาตรฐานของตัวเองไปเรื่อยเราเป็นบริษัทที่สามารถอยู่ไปได้ด้วย attitude ของคนทำงานที่นี่คือความเชื่อมั่น ไม่ได้เชื่อมั่นในตัวผมหรือตัวศรัณย์ แต่เขาเชื่อมั่นในวิธีการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นที่ยอมรับในกระแสโลกที่มันกำลังท้าทายทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ไปพร้อมกัน”
“ในวันนี้บริษัทจึงมุ่งนำเสนอรูปแบบคอนเทนต์ใหม่ๆ ทั้งอีเวนต์ คอนเทนต์ออนไลน์ คอนเทนต์ที่เล่นกับรูปแบบ ฟังก์ชัน อย่างแฟนเพจ DONT Edition ที่เราทำเป็นหน่วยออนไลน์โดยเฉพาะ ก็จะพยายามค้นหาอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด เช่น คอนเทนต์ดวงที่สามารถอ่านให้ฟังได้เลย เป็นต้น ตอนนี้การแข่งขันมันน่าจะอยู่ที่ทำอย่างไรให้ถูกใจผู้เสพได้มากที่สุด เหมาะกับแพลตฟอร์มนั้นมากที่สุด และถ้าเราสามารถทำความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นเหมือนน้ำ ไม่ว่ามันจะไปอยู่ในภาชนะรูปแบบไหน มันก็สามารถอยู่ได้ พอเห็นแบบนี้แล้วมันมีความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด ธุรกิจการสร้างคอนเทนต์จะไม่มีวันตาย ตราบใดก็ตามที่เราสามารถพลิกแพลงไปกับมันได้เรื่อยๆ” ฤกษ์กล่าวปิดท้าย
สำหรับ DONT Magazine ผลิตโดยบริษัท แอมบิเชียส จำกัด ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2553 โดยความร่วมมือของ ศรัณย์ ตั้งเทวนนท์ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา เตชนันท์ ตั้งเทวนนท์ กรรมการผู้จัดการ และฤกษ์ อุปมัย บรรณาธิการบริหาร พา DONT เข้าสู่ตลาดนิตยสารแฟชั่นในฐานะนิตยสารแจกหรือฟรีก๊อปปี้เจ้าแรกในประเทศไทย ในปี 2556 บริษัทได้เปิดตัว DONT Journal ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์แฟชั่นแจกฟรีเล่มแรกเพื่อทำให้คนกรุงเทพฯ เข้าถึงแฟชั่นที่อยู่รอบตัว นอกจาก DONT และ DONT Journal แล้ว แอมบิเชียสยังทำสื่ออื่นๆ ในรูปแบบอีเวนต์และโปรดักชั่นวิดีโอด้วย