เมื่อวางเป้าหมายใหม่พร้อมประกาศทรานส์ฟอร์มธุรกิจจาก Office Supply สู่ Business Solutions ทำให้ออฟฟิศเมท พยายามเพิ่มสินค้าและบริการที่หลากหลายให้ครอบคลุมการทำธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการทั้งที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ผู้ค้ารายย่อย หรือแม้แต่กลุ่ม SME ที่ปัจจุบันเป็นลูกค้าออฟฟิศเมทไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนราย
ความเคลื่อนไหวล่าสุด เมื่อประกาศผนึกกำลังกับผู้ให้บริการขนส่งรายใหญ่อย่างเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ด้วยการเปิดตัวบริการใหม่ OfficeMate X Kerry Express วางเป้าหมายสำคัญไปที่กลุ่มลูกค้า SME รวมทั้งผู้ทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ โดยนำร่องเปิดให้บริการเบื้องต้น 11 สาขา ก่อนจะขยายเป็น 37 สาขา ภายในสิ้นปี และตั้งเป้าจะเปิดบริการนี้ให้ครบทุกสาขากว่า 80 แห่ง เพื่อครอบคลุมพื้นที่ให้บริการได้ทั่วประเทศภายในปีหน้า
คุณวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) และ คุณอเล็กซ์ อึ้ง ผู้อำนวยการบริหารสายงานธุรกิจรับ –ส่ง เคอรี่ โลจิสติกส์กรุ๊ป ประจำสาขาประเทศไทย ให้ข้อมูลถึงความร่วมมือกันในครั้งนี้ ที่ถือว่าเป็น Win-Win Strategy เพราะเป็นการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่แต่ละฝ่ายมีความแข็งแรง โดยออฟฟิศเมทจะมีส่วนช่วยในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและขยายฐานลูกค้า SME ให้เคอรี่ เอ็กซ์เพรสได้มากขึ้น
ขณะที่ฐานลูกค้าของเคอรี่ เอ็กซ์เพรสนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ขายสินค้าออนไลน์ผ่าน FB หรือ IG ซึ่งออฟฟิศเมทก็มีสินค้าที่สามารถรองรับการทำธุรกิจของคนกลุ่มนี้เช่นกัน เมื่อมาใช้บริการส่งของที่สโตร์ ก็จะเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าจากสโตร์ และทำให้ยอดขาย Same Store เติบโตได้มากขึ้น โดยคาดว่ามีโอกาสสร้าง Extra Growth ได้ถึง 10-15% ส่วนในปีหน้าเมื่อมีการขยายการให้บริการครอบคลุมทุกสาขาทั่วประเทศ คาดว่าจะผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 20%
สำหรับจุดเด่นของบริการ OfficeMate X Kerry Express ที่แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นๆ ประกอบด้วย
1. การคิดค่าส่งราคาเดียว เริ่มต้นที่ 35 บาท สำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม (ราคาสูงสุดอยู่ที่ 499 บาท) เพื่อเพิ่มความสะดวกและทำให้ลูกค้าใช้บริการได้ง่ายและคล่องตัวมากที่สุด เพราะ 99% ของผู้ส่งสินค้าส่วนใหญ่จะส่งด้วยน้ำหนักที่ต่ำกว่า 25 กิโลกรัมอยู่แล้ว ขณะที่ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ในตลาดจะคิดราคาค่าส่งตามขนาดและน้ำหนัก
2. ด้วยสาขาให้บริการที่ตั้งอยู่ในห้าง ทำให้เปิด –ปิด ตามเวลาห้าง จึงมีเวลาให้บริการยาวนาน รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะผู้ขายของออนไลน์ที่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศ ก็จะใช้ชีวิตหรือมีไลฟ์สไตล์ต่างๆ อยู่ในห้างอยู่แล้ว จึงสามารถเข้ามาใช้บริการในสาขาได้อย่างสะดวก
3. นอกจากการมาส่งพัสดุ ผู้ประกอบการยังสามารถซื้อสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจได้ภายในจุดเดียว รวมทั้งการพัฒนาระบบให้บริการด้วย Robot และบริการแบบ Automation ประกอบกับทีมเซอร์วิสภายในร้านที่คอยอำนวยความสะดวกให้ผู้มาใช้บริการ ทำให้ลูกค้ามีความสะดวกมากกว่าการไปใช้บริการที่อื่น
ขณะที่ Next Step ในการให้บริการ จะเพิ่มการพัฒนาบริการต่างๆ ทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้มากขึ้น เช่น บริการ Same Day Delivery ที่สามารถส่งสินค้าภายในวันเดียว ส่งเช้าได้บ่าย หรือในส่วนของผู้ใช้บริการที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องส่งจำนวนมากหรือส่งเป็นประจำ อาจจะให้บริการในรูปแบบ Key Account ที่จะมีบริการไปรับสินค้าถึงที่ หรือมีบริการ OfficeMate Logistic เพื่อช่วยบริหารสต็อกให้กับลูกค้า รวมทั้งช่วยผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME ออกแบบแพกเกจจิ้ง หรือโลโก้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผู้ประกอบการกลุ่มนี้สร้างแบรนด์ ด้วยการให้บริการต่างๆ ที่จะมีเพิ่มเติมมาอีกในอนาคต
“แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อยที่เติบโตมากขึ้นถึง 3 เท่า หรือแม้แต่องค์การขนาดใหญ่ก็นิยมสั่งสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ คอลเซ็นเตอร์ หรือระบบแคตตาล็อก ทำให้ต้องพัฒนาระบบการจัดส่งให้แข็งแรง โดยปัจจุบันเคอรี่ เอ็กซ์เพรสมีศูนย์กระจายและคัดแยกสินค้าเกือบ 400 แห่ง และจุดให้บริการส่งสินค้ามากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ พร้อมได้สร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่พื้นที่ 35,000 ตารางเมตร ซึ่งมีความทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะใช้ระบบ Automation เต็มรูปแบบ รองรับพัสดุได้ถึง 2 แสนชิ้นต่อวัน โดยมีแผนเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่เพิ่มเติม รวมทั้งปรับปรุงศูนย์เดิมที่มีอยู่ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะสามารถรองรับสินค้าได้มากกว่า 5 แสนชิ้นต่อวัน”
ด้านหน่วยรถปัจจุบันเคอรี่ เอ็กซ์เพรส มีรถสำหรับการส่งสินค้ามากกว่า 6 พันคัน สัดส่วน 80% เป็นรถทรัค 20% เป็นรถจักรยานยนต์ ขณะที่ออฟฟิศเมทมีรถสำหรับใช้ขนส่งประมาณ 200 คัน สำหรับรองรับลูกค้าในกลุ่มเดิมคือ Office Supply โดยทางเคอรี่ เอ็กซ์เพรสมีแผนเพิ่มการลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มทั้งในส่วนของ Distribution Center, Logistic Hub, การเพิ่มจำนวนรถ รวมทั้งการจ้างงานคนขับเพิ่มเติมด้วย