หนึ่งข้อเท็จจริงที่แสนเจ็บปวด และบริษัทประกันชีวิตหลายๆ แห่ง ก็น่าจะรับรู้กันมาบ้าง เมื่อทุกครั้งที่มีการสอบถามความรู้สึก ความพึงพอใจ หรือทัศนคติที่มีต่อธุรกิจประกันชีวิต ก็มักจะได้ยิน Insight ที่ไม่ค่อยดีจากฟากฝั่งของผู้บริโภคอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกถึงความไม่จริงใจ ซื้อง่าย-เคลมยาก ไม่ได้รับการดูแลที่ดี ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้แต่แรก และอีกหลายๆ เหตุผลที่ล้วนแต่สะท้อนถึงความรู้สึกเชิงลบที่มีต่อธุรกิจประกันทั้งสิ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ผู้บริโภคไม่ได้รู้สึกขึ้นมาเอง แต่ส่วนหนึ่งมาจาก Pain Point ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประสบการณ์ตรงที่ไม่ดี ที่หลายคนเคยประสบพบเจอมากับตัวเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยปลื้มบรรดาบริษัทในแวดวงธุรกิจประกันภัยทั้งหลาย รวมทั้งไม่ค่อยจะยินดีมากนักถ้ามีตัวแทนจากบริษัทประกันเหล่านี้ เข้ามาทักทายหรือพูดคุยด้วย แม้ว่าผู้บริโภคจะตระหนักถึงความจำเป็นและสำคัญของการทำประกันมากขึ้น ในฐานะโซลูชั่นส์ที่จะเข้ามาช่วยแบกรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีโอกาสขึ้นได้กับชีวิตในอนาคต
ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับรู้ถึงประโยชน์และความจำเป็นในการเตรียมพร้อมที่จะต้องรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งการลดภาระค่าใช้จ่าย เมื่อยามเกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือแม้แต่เสียชีวิต การชดเชยรายได้ช่วงที่เจ็บป่วย รวมทั้งป้องกันผลกระทบที่จะเกิดต่ออนาคตของบุตรหลาน หรือแม้แต่สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับจากการทำประกันภัย ทำให้บางส่วนแม้จะไม่ได้รู้สึกดีต่อการทำประกันมากนัก แต่ก็ไม่ปฏิเสธการทำประกันด้วยข้อดีและความจำเป็นต่างๆ ที่ว่ามานี้ ขณะที่บางคนทำประกันต่างๆ ลงไปโดยไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนัก เกี่ยวกับแผนประกันที่ทำลงไปเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่เกิดขึ้นหากจะมองว่ามีแต่ผู้บริโภคเท่านั้นที่เกิด Pain Point ก็คงไม่ถูกนัก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็ต้องถือว่าเป็น Pain Point ของคนในวงการประกันภัยด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนขายประกันที่เป็นผู้นำแผนประกันต่างๆ ไปเสนอให้กับลูกค้าด้วยตัวเอง บริษัทผู้รับทำประกันต่างๆ ที่ต้องถูกตราหน้าว่า “ขี้โกง” ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า คุณๆ ผู้บริโภคทั้งหลายเองก็มีจำนวนไม่น้อยที่ “ขี้เกียจ” อ่านรายละเอียดหรือเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นข้อกำหนดแนบท้ายมากับกรมธรรม์ เพราะเห็นว่ามีรายละเอียดค่อนข้างมาก
ผู้ซื้อประกันบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองซื้อนั้น ตรงกับสิ่งที่ตัวเองต้องการหรือจำเป็นต้องซื้อหรือเปล่า ตอบโจทย์ใดๆ ให้กับชีวิตหรืออนาคตได้หรือไม่ เพราะอาจจะมีคนรู้จัก เพื่อน หรือญาติ เป็นคนขายประกัน บางคนตัดสินใจซื้อ เซ็นชื่อ จ่ายเงิน โดยไม่มีการตรวจสอบใดๆ เงินเข้าบริษัทจริงหรือเปล่าก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ จนเมื่อใดถึงเวลาจำเป็นที่ต้องเคลมประกัน ไม่ว่าจะเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ แม้กระทั่งเสียชีวิต แล้วไม่สามารถเรียกรับผลประโยชน์ที่คิดเอาเองว่าเราต้องได้ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขนั้น เงื่อนไขนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด โดยที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว ทำให้เรามักจะได้ยิน ได้เห็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับลูกค้าและบริษัทประกันภัยต่างๆ ออกมาให้เห็นเป็นกรณีศึกษากันอยู่เสมอๆ
หนึ่งบริษัทที่มองเห็นและรับรู้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้มาโดยตลอด เพราะอยู่ในธุรกิจนี้เช่นเดียวกัน นั่นก็คือ อลิอันซ์ อยุธยา และมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเข้ามา Set Standard ให้กับการสื่อสารและทำตลาดในมิติใหม่ๆ ให้กับธุรกิจประกัน ด้วยการรณรงค์ให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการรักษาสิทธิ์ที่ควรจะพึงมีพึงได้ของตัวเองอย่างถึงที่สุด ด้วยการอ่านเงื่อนไขต่างๆ ของแผนประกันแต่ละประเภทอย่างละเอียด และถามทุกอย่างที่คิดว่ายังไม่เคลียร์ ยังไม่เข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านจากเอกสาร สอบถามกับตัวแทน หรือแม้แต่ช่องทางผ่านออนไลน์ของแต่ละแบรนด์โดยตรง
ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นบริษัทประกัน ซึ่งต้องถือว่าเป็นคู่กรณีโดยตรง รวมทั้งข้อสงสัยจากสังคมว่าตั้งใจที่จะไม่บอก หรือบอกไม่หมด ถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ ที่เป็นข้อยกเว้นในการจ่ายผลประโยชน์หรือเปล่า เห็นประโยชน์ของบริษัทมากกว่าการคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าหรือเปล่า นำมาสู่การออกโฆษณาตัวใหม่ “ประกันที่กล้าบอกเงื่อนไข” ที่เน้นการให้ความรู้ในเรื่องของการทำประกัน โดยเฉพาะการบอกเงื่อนไขต่างๆ ผ่านหนังโฆษณา อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ครบถ้วน และรอบด้าน แบบไม่หมกเม็ด ทั้งแจ้งให้รู้ว่าต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพก่อนทำประกัน รวมทั้งตอกย้ำให้ลูกค้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดและพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ก่อนตัดสินใจ ซึ่งถ้ายังไม่ใช่ก็อย่าเพิ่งซื้อ
https://www.facebook.com/AZAYfan/videos/10155049455182104/
นอกจากความแตกต่างในการเล่าเรื่องที่ฉีกไปจากกฏเกณฑ์เดิมๆ แบบที่เคยเห็นกันมาในธุรกิจประกัน การเลือกทีมงานทั้งครีเอทีฟ ผู้กำกับ รวมทั้งพรีเซ็นเตอร์ ก็มีส่วนเข้ามาช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ จากทีมสร้างสรรค์ของชูใจและกัลยาณมิตร ผู้กำกับ เป็นเอก รัตนเรือง และพรีเซ็นเตอร์สำหรับผลิตภัณฑ์ “ประกันมะเร็งหายห่วง” ที่ได้ อ้อม สุนิสา มาเป็นผู้ถ่ายทอดแนวคิดใหม่ในการทำประกัน ที่โชว์ทุกเงื่อนไขที่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสนออกมาให้สังคมได้รับรู้ และชวนให้ทุกคนใส่ใจและให้ความสำคัญกับการศึกษาเงื่อนไขต่างๆ และถือโอกาสเดียวกันนี้ในการชี้แจงเหตุและผลที่ต้องมีเงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมาให้ผู้บริโภคได้รับรู้แบบวงกว้างด้วย
แม้จะเป็นวิธีการเล่าเรื่องแบบใหม่ที่ต้องออกมาพูดถึงเงื่อนไข หรือข้อจำกัดของตัวเอง โดยเฉพาะในโปรดักต์ที่ต้องเน้นการขายของอย่างธุรกิจประกัน แต่ในมุมมองของทีมสร้างสรรค์กลับมองว่า สิ่งเหล่านี้จะทำให้กำแพงต่างๆ ที่ลูกค้าเคยมีถูกทำลายลง เมื่อแบรนด์ออกมาพูดความจริงกับลูกค้า และชิงพูดขอโทษหรือข้อเสียของตัวเอง ทำให้ลูกค้าเปิดใจและยอมรับฟังข้อดีที่มีอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักทางจิตวิทยา ขณะที่เงื่อนไขต่างๆ ที่หยิบยกมาบอกในโฆษณาก็ล้วนมาจากข้อสงสัยหรือปัญหาต่างๆ ของลูกค้า ที่มีการเก็บข้อมูลมาจากช่องทางต่างๆ ที่เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภค โดยนำมาต่อยอดและทำให้ลูกค้ามีความรู้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจประกันในภาพรวมได้ดียิ่งขึ้น
ขณะที่ความเข้มขันในการสื่อสาร Key Message ของหนังโฆษณาให้กระจายและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด ฝั่งของแบรนด์อย่างอลิอันซ์ อยุธยาก็ได้ทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ ด้วยการทุ่มเม็ดเงินในการประชาสัมพันธ์ผ่านทุกช่องทางทั้งดิจิตอลทีวี Print และ Outdoor เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นรูปธรรม และยังเป็นการเริ่มต้นสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับทั้งอุตสาหกรรมด้วยการสื่อสารในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภค เพิ่มความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ และยังช่วยลดการเกิดกรณีพิพาทระหว่างลูกค้าและบริษัทประกันในอนาคต รวมทั้งเป็นแนวโน้มที่ดีที่จะทำให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกที่ดีต่อธุรกิจประกันในภาพรวมได้อีกด้วย ต้องนับได้ว่าเป็นหนังโฆษณาเรื่องนี้สามารถขายได้ครบในทุกๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็น Product Branding หรือการสร้าง Attitude ที่ดีให้กับแบรนด์ไปพร้อมๆ กัน
#กางทุกดอกบอกทุกเงื่อนไข #อลิอันซ์อยุธยาประกันที่กล้าบอกเงื่อนไข
[Advertorial]