“เจเอเอส แอสเซ็ท” (Jas Asset) เป็นบริษัทย่อยที่ “กลุ่มเจมาร์ท” ถือหุ้น 67.5% เดินหน้าเสริมทัพไลน์ธุรกิจค้าปลีก ล่าสุดเปิดตัวบริษัทน้องใหม่ “บีนส์แอนด์ บราวน์” เข้าบริหารธุรกิจร้านกาแฟแบรนด์ “คาซ่า ลาแปง” (Casa Lapin) หลังจากได้เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมมีแผนปั้นแบรนด์โกอินเตอร์ ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอีก 3 ปี
คุณสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (J) และประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เน้นขยายธุรกิจด้านค้าปลีก มาโดยตลอด ด้วยการเปิดตัวโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ติดต่อกันทุกปี รวม 3 แห่ง ได้แก่ เดอะแจส วังหิน, เดอะแจส รามอินทรา และแจส เออเบิร์น ศรีนครินทร์
มาในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งในไลน์ธุรกิจ ค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตั้งบริษัทใหม่ “บีนส์แอนด์บราวน์” (Beans & Brown) เพื่อเข้าบริหารธุรกิจ “ร้านกาแฟแบรนด์ Casa Lapin” ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตธุรกิจค้าปลีกของบริษัทฯ แต่ยังเป็นก้าวแรกในการรุกเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารและกาแฟ ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสนใจมานานแล้ว
“เมื่อต้นเดือนสิงหาคม บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งดำเนิน กิจการภายใต้ชื่อ Casa Lapin พร้อมเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการจากบริษัท คอฟฟี่ โปรเจคท์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจกาแฟของเมืองไทย ด้วยวงเงิน 42 ล้านบาท พร้อมร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ ในชื่อบริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด ด้วยสัดส่วนการถือครองหุ้นของเจเอเอส แอสเซ็ท อยู่ที่ 60% และคอฟฟี่ โปรเจคท์ 40%
ทีมคอฟฟี่ โปรเจคท์ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างแบรนด์ Casa Lapin ให้มีเอกลักษณ์ แตกต่างจาก แฟรนไชส์ร้านกาแฟอื่นๆ ในตลาดอย่างชัดเจน กลายเป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อในด้านคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ใช้ มีความพิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนการคั่วเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงกระบวนการชง มีเครื่องดื่มที่หลากหลายและแตกต่าง จากแบรนด์อื่น ทั้งยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ด้วยทีมบาริสต้าที่มีความรู้เกี่ยวกับกาแฟและ เครื่องดื่มเป็นอย่างดี เจเอเอส แอสเซ็ทจึงมองเห็นศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของแบรนด์ Casa Lapin”
ปัจจุบัน Casa Lapin มี 7 สาขา แบ่งออกเป็น 3 สาขาที่ทางบีนส์แอนด์บราวน์เป็นเจ้าของ ได้แก่ ซอยสุขุมวิท 26, ซอยพหลโยธิน 7 (ซอยอารีย์) และเมเจอร์ เอกมัย ส่วนอีก 4 สาขาเป็นร้านของพาร์ทเนอร์ที่ดำเนินงานร่วมกับ บริษัทฯ ในรูปแบบของส่วนแบ่งรายได้ ได้แก่ สาขาซอยสุขุมวิท 49, GMM Studio ซอยสุขุมวิท 23, เพลินจิต และราชเวที ด้านหน้าโรงแรมเอเวอร์กรีน เพลส กรุงเทพ
สยายปีกสาขาในไทย – เมืองใหญ่ของเอเชีย ก่อนจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
คุณสุพจน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงเป้าหมายทางธุรกิจของ Casa Lapin ว่า บีนส์แอนด์บราวน์เตรียมจะเปิด Casa Lapin อีก 3 สาขาในปีนี้ โดยอยู่ในทำเลย่านธุรกิจใจกลางเมืองทั้งหมด และตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป มีแผนที่จะเปิดอย่างน้อย 10 สาขาต่อปี โดยมีไฮไลท์อยู่ที่การเปิดแฟล็กชิปสโตร์ ขนาดพื้นที่ไม่น้อยกว่า 200 ตารางเมตร ในศูนย์การค้า ระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพภายในปีหน้า ซึ่งจะเป็นเหมือน Experience Center ที่รวมเรื่องราวและเสน่ห์ของกาแฟของคนไทยให้นักท่องเที่ยวและคนรักกาแฟได้สัมผัส ในบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ สไตล์ Casa Lapin
หลังจากนั้นบริษัทฯ จะขยายสาขาไปสู่ตลาดเอเชีย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองใหญ่อย่าง โตเกียว, โซล, ฮ่องกง, ไทเป และสิงคโปร์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ตั้งเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่อง 600% ภายใน 3 ปี จาก 60 ล้านบาท ในปีนี้ เพิ่มเป็น 180 ล้านบาทในปี 2561 และ 270 ล้านบาทในปี 2562 และ 360 ล้านบาทในปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมกับเปิดสาขาครบ 40 แห่งทั่วกรุงเทพฯ
ทางด้าน คุณสุรพันธ์ ทันตา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด กล่าวว่า Casa Lapin พยายามสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้าทุกคน ผ่านทุกขั้นตอนก่อนจะออกมาเป็นกาแฟที่ลูกค้าเลือกดื่มสักแก้ว เรียกว่าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทีมงาน Casa Lapin ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟมาเป็นเวลานาน มีความเข้าใจในเรื่องการดูแลบำรุงต้นกาแฟ การคัดสรรและเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงการแปรรูปเมล็ดกาแฟให้มีคุณภาพที่ดี
จึงทำให้ Casa Lapin ได้วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพสูง เป็นกาแฟชนิดพิเศษ หรือที่ในวงการเรียกว่า Specialty Coffee หลังจากนั้นก็นำเมล็ดกาแฟมาคั่วด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก “Loring S15 Falcon” ซึ่งมีเพียงเครื่องเดียวในเมืองไทย ก่อนจะชงเครื่องดื่มผ่านกระบวนที่พิถีพิถันและอุปกรณ์คุณภาพ ส่วนบรรยากาศภายในร้านจะตกแต่งในสไตล์ Industrial Loft เน้นสร้างความรู้สึกที่อบอุ่น เป็นกันเอง”
“ปัจจุบัน Casa Lapin มีโครงสร้างรายได้ 70% จากการจำหน่ายกาแฟและเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ และอีก 30% จากอาหารและเบเกอรี่ ซึ่งในอนาคตจะมีรายได้จากการขายสินค้าของที่ระลึกเพิ่มเข้ามา โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของร้านคือคนรุ่นใหม่ที่นิยมบริโภคสินค้าคุณภาพและชอบงานดีไซน์
การเข้ามาร่วมทุนของเจเอเอส แอสเซ็ท ทำให้ Casa Lapin สามารถพัฒนาขึ้นได้ในหลายมิติ โดยจะมีทีมงานมือ อาชีพเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ การวางกลยุทธ์ด้านการตลาด และการเทรนนิ่งบุคลากร รวมไปถึงมีการนำ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในด้านการบริการภายในร้าน เช่นด้านการชำระเงิน การรับออร์เดอร์สินค้า ส่วนตัวสินค้า ทางบีนส์แอนด์บราวน์จะมีการจัดตั้งห้องแล็บเพื่ออาร์แอนด์ดีเมนูอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง” คุณสุรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย