จากตัวเลขของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA** ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 60 ที่ระบุว่า “ภาพรวมของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท มูลค่า e-retail ในไทย 1% เฉลี่ยทั่วโลก 8.6% ส่งผลให้มีเม็ดเงินมหาศาลที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของประเทศ ธุรกิจที่ได้รับอานิสงห์ของการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ โดยตรงก็คือ “การขนส่ง” ซึ่งต้องปรับตัวอย่างหนัก ให้สอดรับกับการขยายตัวที่เกิดขึ้น
**อ้างอิงข้อมูลตัวเลขของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA
ภายในงาน Digital Thailand Big Bang 2017 ได้มีหัวข้อเสวนาเรื่อง “e-Commerce Shapes Logistics – อีคอมเมิร์ซเปลี่ยนโลกโลจิสติกส์” ซึ่งอัพเดทเรื่องราวของการค้าอีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ โดยตรง ผ่านกูรูตัวจริงในวงการ 4 ท่าน ประกอบด้วย ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), คุณพิษณุ วานิชผล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, คุณสุทธิเกียรติ จันทรชัยโรจน์ เจ้าของระบบจองขนส่งออนไลน์ SHIPPOP.COM และคุณฤทธิ เบญจฤทธิ์ เจ้าของร่วมกิจการ e-Commerce เพจ Princess Beauty เว็บไซต์ BrandBuffet ขอสรุปประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจจากงานเสวนา ดังนี้
ผู้ประกอบการตัวจริงชี้ โลจิสติกส์ต้องก้าวให้ทันเทคโนโลยี
คุณฤทธิ เบญจฤทธิ์ ตัวแทนจากเพจ Princess Beauty ในฐานะผู้ประกอบการ SMEs ที่พึ่งพาระบบขนส่งจากผู้ประกอบการหลายราย ระบุถึงปัจจัยการเลือกใช้บริการผู้ให้บริการโลจิสติกส์ว่า เขาจะพิจารณาจากความรวดเร็ว และราคาเป็นหลัก เพราะว่าไม่อยากให้ลูกค้าต้องรับภาระมากเกินไป ซึ่งการใช้บริการ “กล่องพร้อมส่ง” ของไปรษณีย์ไทย คิดราคาแบบเหมาจ่ายก็ช่วยเฉลี่ยต้นทุนได้ดีขึ้น และที่สำคัญไม่ต้องรอคิว ณ ที่ทำการไปรษณีย์ ไปถึงก็ส่งของได้เลย ส่วนเหตุผลรองๆ ลงมาก็คือ ผู้ประกอบการที่ใช้บริการแล้วไว้ใจได้ว่าสินค้าจะถึงมือผู้รับในสภาพที่ดีอยู่ เขายังเล่าให้ฟังอีกว่า ปัจจุบันนี้ลูกค้า หวังให้มีบริการ Cash on Delivery หรือว่าเก็บเงินปลายทาง แต่โซลูชั่นนี้กลับเป็นปัญหากับผู้ขาย เพราะลูกค้ามีโอกาสเปลี่ยนใจได้ และกลายเป็นภาระค่าขนส่ง ถึงแม้ว่าหลายร้านที่รองรับการจ่ายเงินด้วยระบบนี้แล้วช่วยเพิ่มยอดขายได้เกือบเท่าตัว แต่โดยส่วนตัวเขายังไม่พร้อมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และกำลังมองหาโซลูชั่นที่เป็นทางออกให้ลูกค้าซื้อได้ง่ายขึ้น และไม่มีปัญหาเรื่องที่พอสินค้าไปถึงแล้วลูกค้าปฏิเสธรับของ
ไม่ใช่แค่ส่งดี แต่สถานที่รับของต้องสะดวก
คุณสุทธิเกียรติ จันทรชัยโรจน์ เจ้าของระบบจองขนส่งออนไลน์ SHIPPOP.COM สตาร์ทอัพที่ทำหน้าที่เทียบราคาค่าขนส่งจากผู้ให้บริการแต่ละเจ้า จึงเข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้ส่งสินค้าเป็นอย่างดี คุณสุทธิเกียรติเพิ่มเติมประเด็นในเรื่องการรับสินค้า ว่าถ้าหากผู้ให้บริการแต่ละรายมีจุดที่ทำให้ผู้ส่งนำสินค้าไปเข้าสู่ระบบได้สะดวก ใกล้ ก็น่าจะเป็นแรงจูงใจให้พ่อค้า แม่ค้าทั้งหลายหันมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง หรือถ้าจะให้ดีมีบริการรับสินค้าถึงบ้านเลย หรือมีจุดที่รับฝากส่งสินค้า 24 ชั่วโมง ก็น่าจะช่วยให้คนขายของเป็นอาชีพเสริมทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะเวลาปกติก็ต้องทำงานประจำไปด้วย
นอกจากนี้เจ้าของแพล็ตฟอร์มเทียบราคาส่งสินค้า ยังเสริมในเรื่องการใช้ Location ในโซเชี่ยลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก หรือ ไลน์ ในการส่งสินค้าแทนที่การที่ End User ต้องกรอกที่อยู่เอง ก็น่าจะเป็นช่องทางที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้สั่งสินค้า และผู้ส่งสินค้า แถมยังอาจจะมีความแม่นยำมากกว่าที่ลูกค้าจะมานั่งกรอกที่อยู่เองซะเอง
คุณพิษณุ วานิชผล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจตัวแทนจาก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยได้มีความพยายามขยายบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น เพิ่มเวลาทำงาน บางสาขาเปิดถึง 20.00 น. และเริ่มต้นทดลองเปิดถึงเที่ยงคืน ที่สาขา The Street ต่อไปก็จะมีศูนย์ที่เป็น E-Commerce Hub 4 จุดใหญ่ ในเขตกรุงเทพ เพื่อช่วยให้การค้าขายสะดวกขึ้น ขณะเดียวกันก็เล็งทำโปรโมชั่นพิเศษ กระตุ้นให้คนส่งของช่วงเช้ามากขึ้น เพื่อเฉลี่ยเวลาทำงานของพนักงานให้มีเวลาส่งมอบของได้ตรงตามเวลา รวมทั้งบริการสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ที่ส่งสินค้าครั้งละ 50 กล่องขึ้นไป ก็มีบริการรับสินค้าถึงที่
อีกทั้งที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยได้พัฒนาระบบ Prompt Postซึ่งต้องบอกว่าเบื้องหลังแนวคิด ผลักดันให้ Prompt Post ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เป็นมากกว่าแอปพลิเคชั่น แต่เป็นแพล็ตฟอร์มและบริการที่เกิดมาเพื่อช่วยพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ยุคใหม่อย่างแท้จริง
Prompt Post เครื่องมืออัจฉริยะ จับ Big Data มาเจอ “หัวใจ” บริการ
ไปรษณีย์ไทยนำส่งพัสดุวันละ 8-9 ล้านชิ้นต่อวัน และด้วยพันธกิจที่ต้องส่งจดหมายกับพัสดุทุกชิ้นให้คนไทย ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน การบริหารจัดการพัสดุจำนวนขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ล่าสุดองค์กรแห่งนี้ขยับเข้าสู่ยุคประเทศไทย 4.0 ด้วยแอปพลิเคชั่น Prompt Post ซึ่งในตอนนี้คุณสมบัติของแอปฯ ดังล่าวช่วยให้ผู้ส่งTrack ID ครั้งละมากๆ ได้ในครั้งเดียว จากเดิมที่ถ้าจะเช็คพัสดุว่าอยู่ที่ไหนแล้ว ต้องมานั่งกรอกเลขรหัสทีละชิ้น นอกจากนี้ยังเริ่มต้นการดึง Big Data มารวบรวมเอาไว้เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นแนวโน้มพื้นที่ที่สินค้าขายดี
ในลำดับต่อไป ไปรษณีย์ไทยเตรียมก้าวเข้าสู่ยุค Digital Transformation ผู้ใช้งานจะใช้ข้อมูลที่ได้คาดการณ์ยอดขายเบื้องต้นได้ เพื่อนำไปสู่การสั่งสินค้า บริหารคลังสินค้า ระบบบัญชีเบื้องต้น รวมทั้งเริ่มต้นรับ E-Wallet เป็นตัวกลางที่ ผู้ซื้อสินค้าใส่เงินเข้ามาในกระเป๋าเงินอิเลกทรอนิคส์ และกดสั่งจ่ายเมื่อได้รับสินค้าที่น่าพอใจ ไปรษณีย์ก็จะโอนเงินดังกล่าวไปให้ผู้ขาย ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดช่องว่างของความต้องการ Cash on Delivery ลง ให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสบายใจกันทั้ง 2 ฝั่ง โดยไปรษณีย์รับภารกิจเป็นตัวกลางที่ทำให้เกิดการซื้อขายขึ้น
คาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้ ตัวเลขการค้าอีคอมเมิร์ซจะมีมูลค่ารวมถึง 700,000 ล้านบาท และเติบโตราว 18-22% เฉพาะธุรกิจขนส่งของไปรษณีย์ไทย น่าจะมีรายได้ 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 55% ของสัดส่วนในธุรกิจขนส่งพัสดุ สำหรับไปรษณีย์ไทยคาดหวังว่าจะขยับขึ้นมาเป็น 60% ภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยมีพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นหัวหอกสำคัญ เพราะ “หัวใจ” ของงานบริการที่ถูกปลูกฝังมาตลอดว่า ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดในผืนแผ่นดินไทยก็ต้องตามไปส่งให้ถึงมือผู้รับให้ได้
2 เทรนด์ที่ต้องจับตา วันนี้พ่อค้า-แม่ค้าต้องกล้าลุยตปท.
ปิดท้ายด้วยแง่คิดจาก ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) นำเสนอเทรนด์สำคัญที่น่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ ว่า
“เดิมหลายคนเชื่อว่า ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็น Market Place หรือว่าจะเป็นร้านค้าใหญ่ๆ ก็จะมีลักษณะเป็น Winner Takes All คือ มีผู้ประกอบการรายรายเดียวแล้วกินรวบทั้งหมด แต่ผมเชื่อว่าพอ E-Commerce กระจายตัว ทั้ง E-Market Place หรือที่เป็น Brand.com เจ้าของแบรนด์เปิดเว็บไซต์ขายสินค้าของตัวเอง จะทำให้เกิดช่องว่างและการแข่งขัน ที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น”
“อีกเทรนด์ก็คือ เทคโนโลยี E-Commerce เกิดมาและจะมีประโยชน์สูงสุด ก็ต่อเมื่อมัน Remote ดังนั้นถ้ามันจะทรงพลังจริงๆ มันต้อง Cross Border มันจะมีกำลังซื้อมหาศาลไหลเข้ามา ดังนั้นสำหรับผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะบุกตลาดต่างประเทศ คุณภาพสินค้า ความเข้าใจในเรื่องกฎเกณฑ์ ไปจนถึงการสร้างคอนเทนท์ต่างๆ ต้องพัฒนาไปกินตลาดต่างประเทศให้ได้”
สอบถามข้อมูลบริการกล่องพร้อมส่ง จากระบบ Prompt Post ได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจในประเทศ 0 2831 3731-2 หรือใช้บริการได้ที่
http://promptpost.thailandpost.co.th