อีกไม่กี่วันจะเข้าเทศกาล “ไหว้พระจันทร์” ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 4 ตุลาคม ทำให้นับตั้งแต่เดือนนี้ ไปจนถึงต้นเดือนหน้าเป็นช่วงแห่งการจับจ่ายซื้อขนมไหว้พระจันทร์ จากในอดีตผู้ที่ทำขนมไหว้พระจันทร์ขาย ส่วนใหญ่เป็นโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร แต่ปัจจุบันมีผู้ผลิตเข้ามาในตลาดนี้มากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันนำเสนอไส้ขนมแปลกใหม่ นอกเหนือจากไส้พื้นฐานที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งยังแข่งกันที่แพ็คเกจจิ้ง ดีไซน์ ที่ดึงความสนใจของลูกค้า
แต่เคยสงสัยกันไหมว่า…ตั้งแต่เราเล็กจนโต “ขนมไหว้พระจันทร์” ก็ยังเป็นสินค้าเทศกาล (Seasonal Product) ที่เน้นผลิตและจำหน่ายเฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น หลังจากนั้นแทบไม่มีวางขาย นี่จึงทำให้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี การแข่งขันจะคึกคักอย่างไร มูลค่าตลาดขนมไหว้พระจันทร์ ยังคงไม่ทะลุหลักพันล้านบาท ทั้งที่ในช่วง 2 – 3 ปีมานี้ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อไม่ได้มีเพียงผู้บริโภคทั่วไปเหมือนอย่างในอดีต แต่ยังมีกลุ่มลูกค้าองค์กร และกลุ่มนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีนที่ซื้อเป็นของขวัญของฝาก โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยมูลค่าตลาดขนมไหว้พระจันทร์ปี 2559 อยู่ที่ 900 ล้านบาท และในปี 2558 อยู่ที่ 840 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 อยู่ที่ 750 ล้านบาท
เพราะฉะนั้นการจะผลักดันให้ “ตลาดขนมไหว้พระจันทร์” เติบโตมากกว่านี้ ต้องทลายข้อจำกัดของการเป็น Seasonal Product และขยับไปสู่การเป็นสินค้าที่สามารถหาซื้อได้ตลอดทั้งปี เพื่อรองรับทั้งกลุ่มผู้บริโภคไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะซื้อเพื่อบริโภคเอง หรือซื้อเพื่อเป็นของขวัญของฝาก
ขณะเดียวกันต้องขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ เนื่องจากทุกวันนี้ ผู้บริโภคกลุ่มหลักของตลาดขนมไหว้พระจันทร์ ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน อายุ 35 ปีขึ้นไป ที่ซื้อเพื่อไปไหว้ในช่วงเทศกาล ถึงแม้ผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวมีอำนาจการซื้อสูง แต่ขณะเดียวกันการยึดแต่ฐานผู้บริโภคเดิมอย่างเดียว คงไม่สามารถขยายฐานตลาดให้เติบโตได้มากไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้การจะผลักดันให้ตลาดขนมไหว้พระจันทร์เติบโตมากขึ้น ต้องมองหา “ลูกค้าใหม่” ซึ่งลูกค้าใหม่ที่มีอำนาจการซื้อสูง ไม่แพ้คนกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป คือ คนรุ่นใหม่กลุ่ม Millennials
แต่ด้วยความที่คน Millennials เป็นตัวของตัวเองสูง ชอบความแปลกใหม่ และชอบความแตกต่างที่บ่งบอกความเป็นตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะนำ “ขนมไหว้พระจันทร์” แบบดั้งเดิมที่มีแต่ไส้ทุเรียน ไส้ลูกบัว ไส้โหงวยิ้ง ที่ทำจากถั่วและเมล็ดธัญพืชต่างๆ ฯลฯ บรรจุอยู่ในกล่องสีแดง ลวดลายจีนๆ มาทำตลาดกับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ แน่นอนว่าไม่ได้เป็น Wow! Product ที่จะดึงดูดใจคน Millennials ได้เลย
การพัฒนาไส้ขนมใหม่ๆ ที่นำทั้งวัตถุดิบจากฝั่งตะวันออก ผสมเข้ากับฝั่งตะวันตก ออกมาเป็นไส้ขนมไหว้พระจันทร์แปลกใหม่ มีความร่วมสมัย รวมถึงการออกแบบแพ็คเกจจิ้งสวยงาม จะเป็นกลยุทธ์ดึงความสนใจจากผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
S&P ดึง “หน้ากากทุเรียน – หน้ากากโพนี่” ทำคอลเลคชั่นขนมไหว้พระจันทร์
หนึ่งใน Major Player ของตลาดขนมไหว้พระจันทร์อย่าง “S&P” ใช้กลยุทธ์ทั้งการออกขนมไหว้พระจันทร์ไส้ใหม่ๆ พร้อมทั้งออกแพ็คเกจจิ้ง ดีไซน์ทันสมัย พลิกโฉมขนมไหว้พระจันทร์แบบเดิมๆ ที่คุ้นเคยกันมานาน เพื่อปรับภาพลักษณ์ขนมไหว้พระจันทร์ให้ดูทันสมัยขึ้น เข้ากับคนรุ่นใหม่ และเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่ม หลากหลายไลฟ์สไตล์มากขึ้น
อย่างในปีนี้ งัดกลยุทธ์ “เรียลไทม์ มาร์เก็ตติ้ง” (Real-Time Marketing) ดันความเป็นแบรนด์ทันสมัย ด้วยการเปิดตัว “The Mask Collection” 6 หน้ากากนักร้อง ประเดิมด้วยกล่องขนมไหว้พระจันทร์ Limited Edition ลาย “หน้ากากทุเรียน” และ “หน้ากากโพนี่” นอกจากนี้ ยังเปิดตัวขนมไหว้พระจันทร์ 3 รสชาติใหม่ ได้แก่ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ชาอู่หลง&ผู่เอ๋อ, ไส้คัสตาร์ด และไส้หมอนทองเจ ภายใต้แบรนด์ S&P รวมถึงขนมไหว้พระจันทร์ไส้มะม่วง ภายใต้แบรนด์มังกรทอง
ปีนี้ ยอดการผลิตขนมไหว้พระจันทร์ของ S&P ไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านก้อน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5% ซึ่งการผลิตเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากมีสาขา S&P มากขึ้น และจับมือกับพันธมิตรธุรกิจรีเทล เพื่อขยายช่องทางการขาย อย่างล่าสุดผนึกกำลังกับ “บิ๊กซี” จัดเทศกาลขนมไหว้พระจันทร์ โดยนำเสนอ Limited Edition Box Set “ขนมไหว้พระจันทร์ลิขสิทธิ์หน้ากากทุเรียน ขนาด 4 ชิ้น” มีจำหน่ายที่บิ๊กซี 4 สาขา คือ ราชดำริ, แฟชั่นไอซ์แลนด์, รังสิต และเพชรเกษมเอ็กซ์ตร้า
การดึง “หน้ากากทุเรียน” และ “หน้ากากโพนี่” มาทำคอลเลคชั่นขนมไหว้พระจันทร์ เป้าหมายสำคัญเพื่อปรับภาพลักษณ์ขนมไหว้พระจันทร์ให้ดูทันสมัยขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ และต้องการทำให้ผู้บริโภคมองขนมไหว้พระจันทร์ สามารถเป็นอาหารว่างในทุกโอกาส ไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์เท่านั้น ทั้งยังทำให้เป็นของขวัญของฝากสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทย โดยเฉพาะชาวจีน ที่ชื่นชอบการรับประทานทุเรียนของไทย ได้ซื้อติดกลับบ้าน
“S&P เล็งเห็นว่ากระแส The Mask Singer ได้สร้างปรากฏการณ์ไปยังกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มอย่างรวดเร็ว แรง และเป็น Talk of the town ดังนั้น S&P จึงต้องสร้างความต่อเนื่องให้กับบรรดาแฟนคลับหน้ากากต่างๆ ด้วยการต่อยอดคอลเล็คชั่นให้แฟนคลับได้สะสม โดยเปิดตัว The Mask Collection มีให้เลือก 6 หน้ากาก ได้แก่ หน้ากากทุเรียน หน้ากากโพนี่ หน้ากากจิงโจ้ หน้ากากซูโม่ หน้ากากซามูไร และหน้ากากซาลาเปา เพื่อให้เข้ากับผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ที่มีอยู่อย่างหลากหลายของเอส แอนด์ พี อาทิ ขนมไหว้พระจันทร์ เค้ก และคุกกี้ ซึ่งแต่ละคอลเล็คชั่น จะเป็น Limited Edition
ขณะเดียวกันการทำคอลเลคชั่นขนมไหว้พระจันทร์ “หน้ากากทุเรียน” และ “โพนี่” เพราะขยายฐานลูกค้าขนมไหว้พระจันทร์ไปยังกลุ่ม Milllennials ช่วงอายุประมาณ 18-34 ปี และกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบรายการมิวสิกโชว์ The Mask Singer” รวมทั้งเพิ่มโอกาสการขายขนมไหว้พระจันทร์ให้จำหน่ายตลอดปี ไม่จำกัดเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น” คุณเกษสุดา ไรวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอส แอนด์ พี ซินดิเคท กล่าวถึงการนำลิขสิทธิ์ของหน้ากากนักร้อง “The Mask Collection” มาเป็นคอลเล็คชั่นของผลิตภัณฑ์ขนมไหว้พระจันทร์ และเบเกอรี่ต่างๆ
ทางด้าน คุณมณีสุดา ศิลาอ่อน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร กล่าวเพิ่มเติมถึง ไฮไลท์พิเศษของขนมไหว้พระจันทร์ปีนี้ว่า “S&P ได้รังสรรค์ขนมไหว้พระจันทร์สูตรเฉพาะรวมกว่า 17 ไส้ (12 รสชาติ) ได้แก่ ไส้หมอนทอง, ไส้แปดเซียน, ไส้แครนเบอรี่ & เอิร์ลเกรย์, ไส้มัจฉะเรดบีน, ไส้บัว, ไส้โหงวยิ้ง, ไส้หมอนทองแมคคาเดเมีย, ไส้บัวทองแมคคาเดเมีย ไข่1, ไส้งาดำ และ 3 รสชาติใหม่ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ชาอู่หลง & ผู่เอ๋อ, ไส้คัสตาร์ด และไส้หมอนทองเจ
นอกจากนี้ ยังมีขนมไหว้พระจันทร์ของแบรนด์ในเครืออย่าง “มังกรทอง” ซึ่งแนะนำไส้ใหม่ คือ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้มะม่วง ที่ได้คัดสรรมะม่วงหลากหลายสายพันธุ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ พันธุ์โชคอนันต์ และพันธุ์น้ำดอกไม้ รวมทั้งอีกหนึ่งแบรนด์ “Vanilla” ปีนี้ทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนไข่เค็ม ไส้คาราเมลไข่เค็ม บรรจุในกล่องเหล็กทันสมัย