ตลาดแรงงานทั้งในไทยและทั่วโลกมีแนวโน้มเผชิญภาวะขาดแคลน หรือ Workforce Shortage เพราะทราบดีว่าโครงสร้างประชากรหลายๆ แห่งทั่วโลก กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุหรือ Aging Society ที่จำนวนประชากรผู้สูงอายุจะมีมากกว่าคนหนุ่มสาววัยทำงาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวและไม่ใช่ภาพในอนาคตที่อยู่ไกลเกินไปนัก เพราะอีกเพียง 3-5 ปีข้างหน้า ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ก็จะเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ขณะที่ประเทศไทยอาจต้องเจอ 2 แรงบวก เพราะนอกจากปัญหาเชิงโครงสร้างประชากรแล้ว แรงงานที่อยู่ในบ้านเราส่วนใหญ่ยังมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้เติบโต GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น แรงงานส่วนหนึ่งก็จะตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดตัวเอง ทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในไทยจะทวีความรุนแรงขึ้นจากซัพพลายในตลาดที่หายไป ยังไม่นับรวมแนวโน้มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างธุรกิจตัวเอง ไม่นิยมเป็นลูกจ้างใคร ทำให้การ Recruit คนเข้ามาทำงานในองค์กรเป็นเรื่องยากกว่าเดิม โดยเฉพาะการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรและมีความผูกพันต่อองค์กรให้ได้นั้น ยิ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นไปอีก
คุณบวรนันท์ ทองกัลยา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและบริหาร กลุ่มน้ำตาลมิตรผล กล่าวว่า ปัญหาขาดแคลนแรงงานเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั้งประเทศต้องเผชิญ โดยเฉพาะบริบทที่จะเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้ กลยุทธ์ Employee Engagement จึงเป็นเรื่องสำคัญ และต้องก้าวข้ามการแข่งด้วยเรื่องของเงินเดือน สวัสดิการ หรือ Benefit ต่างๆ ไม่อย่างนั้นจะต้องแข่งกันแบบไม่มีที่สิ้นสุด และไม่สามารถสร้างความผูกพันกับองค์กรได้จริง
“สิ่งที่สำคัญ องค์กรต้องมีสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้พนักงานมีโอกาสได้ใช้ศักยภาพที่มีให้เต็มที่ มีแรงบันดาลใจที่จะทุ่มเทให้การทำงาน และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองค์กร ให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและมีความสุขในการทำงาน ขณะที่บางแห่งแก้ปัญหาด้วยการนำเทคโนโลยี นำระบบ Automation หรือ Robot มาใช้แทนแรงงานคน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง Hard Side และที่สำคัญ ไม่มีองค์กรไหนจะสามารถพัฒนาได้มากกว่าศักยภาพที่คนในองค์กรมี ดังนั้น การเพิ่ม Productivity ให้คนในองค์กรจึงสำคัญกว่า โดยเฉพาะการสร้างคนที่เหมาะสมกับ Landscape ใหม่ของธุรกิจและการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญของการขับเคลื่อนทุกองค์กรจากนี้”
และนี่คือ 10 แนวทางในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลตามแบบฉบับกลุ่มมิตรผล เจ้าของรางวัลสุดยอดนายจ้างดีเด่น Best Employer 2017 ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน มีจำนวนพนักงานในความดูแล 8,195 คน โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานยาวนาน 10-20 ปี มีถึง 21% อัตราการเปลี่ยนงานเพียง 4% น้อยกว่าองค์กรอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันกว่าเท่าตัว
1. กลุ่มมิตรผลสร้าง Employee Engagement ผ่านนโยบายยกระดับความสามารถการทำงานของพนักงาน ด้วยกลยุทธ์ HR Transformation 4+1 ที่นอกจากทำให้พนักงานมีศักยภาพมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้องค์กรในภาพรวม โดยจะโฟกัสเรื่องต่างๆ ดังนี้ Global Competency Development, Organization Effectiveness, Productivity Through People และ Enhancing Employee Engagement ซึ่งจะทำอย่างสอดคล้องไปกับการพัฒนาและปรับปรุงระบบของงาน HR ที่เหมาะสมกับยุคสมัยและทิศทางการทำงานของคนและองค์กร
2. ทั้ง 4 กลยุทธ์ จะสนับสนุนให้กลุ่มมิตรผลไปสู่เป้าหมาย World Class Company ภายในปี 2020 โดยเฉพาะหัวใจสำคัญเรื่องของการเตรียมศักยภาพคนให้พร้อมสำหรับการเป็น Global Player ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถ ศักยภาพ และประสิทธิภาพทั้งบุคคลและองค์กร สร้างบรรยากาศให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กร ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ การมอบรางวัล Innovation Award หรือสนับสนุนการสร้างสตาร์ทอัพในองค์กรผ่านโครงการ Mitr Phol Accelerate โดยนำผลงานของพนักงานมาพัฒนาเป็น Prototype เพื่อทดลองต่อยอดให้กับธุรกิจ
3. กลยุทธ์ต่างๆ จะถูกนำมาถ่ายทอดเป็นกระบวนการพัฒนาบุคลากรที่เป็นรูปธรรมผ่านโครงการและหลักสูตรฝึกอบรม ได้แก่ CE – Mitr Phol Learning Camp ซึ่งเป็นการเรียนรู้แนว Constructionism ด้วยแนวคิด 70:20:10 แบ่งเป็น การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง จากผู้อื่น และจากห้องเรียน หลักสูตร SDP (Supervisor Development Program) และ หลักสูตร MDP (Management Development Program) ที่เสริมสร้างภาวะผู้นำ รวมถึงกิจกรรมพัฒนาบุคลากรเพื่อเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ Mitr Phol WCO Day และ โครงการ Talent Mobility ที่เปิดโอกาสให้พนักงานจากประเทศต่างๆ มาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การทำงาน
4. การก้าวสู่ World Class Company ของกลุ่มมิตรผล จะชี้วัดด้วย World Class Benchmarking ตามหลักการประเมินองค์กรชั้นนำระดับโลกอื่นๆ โดยมองใน 6 มิติ คือ การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง, เติบโตอย่างยั่งยืน, สร้างความผูกพันกับ Stakeholder ตลอด Supply Chain, ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนและเปิดโอกาสให้พนักงานแสดงศักยภาพการทำงานได้เต็มที่ เพื่อเพิ่มแนวทางพัฒนาคนในองค์กร, สร้างนวัตกรรมใหม่ให้แก่องค์กรทั้ง Business Model Innovation, Product Innovation และ Process Innovation รวมทั้งสามารถยืดหยุ่นและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงพร้อมการขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้
5. กลุ่มมิตรผลให้ความสำคัญและยอมรับเรื่องความหลากหลายในองค์กร โดยเฉพาะความแตกต่างในเรื่องของวัยและไลฟ์สไตล์ของเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่เข้ามาในองค์กร โดยปัจจุบันมีพนักงาน Gen Y 62% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 70% ในอีก 2 ปี ขณะที่ผู้บริหาร Gen X หรือ Baby Boomer จะเน้นการเข้าใจและเข้าถึง ผ่านโปรแกรมที่สร้างความคุ้นเคยกับพนักงาน เช่น CEO See You หรือการจัดฟอรั่มจากผู้บริหารระดับ Top Management ทั้งการให้คำปรึกษาปัญหาเรื่องงานหรือปัญหาส่วนตัวต่างๆ โดยเฉพาะการทำ Stay Interview เพื่อเข้าใจแรงจูงใจในการทำงานของพนักงานแต่ละคน และนำมาปรับเป็นกระบวนการทำงานที่เหมาะสม
6. การปรับ Career Path Development ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเฉพาะแนวโน้มที่ตลาดแรงงานจะขาดแคลนในอนาคต ทั้งมิติของการเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนากลุ่มที่เป็น Talent หรือ Successor ในองค์กรให้เติบโตได้เร็วขึ้น ให้มีโอกาสได้ทำงานที่มีความท้าทายและมีคุณค่า หรือในกลุ่มคนที่กำลังเกษียณก็อาจมีการต่อระยะเวลาในการทำงาน เสนอรูปแบบการทำงานที่ยังสามารถสร้างประโยชน์หรือนำ Value ที่มีอยู่มาสร้างคุณค่าให้กับทั้งตัวเองและองค์กรได้เพิ่มขึ้น
7. ในส่วนของการ Recruit คน กลุ่มมิตรผลจะให้ความสำคัญกับเรื่องของ Culture Fit ที่เอื้อต่อการผลักดันให้องค์กรเติบโตเป็นลำดับแรก และให้น้ำหนักมากกว่าเรื่องความสามารถในการทำงานที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ โดยจะใช้ Best Model เพื่อชี้วัดศักยภาพแต่ละคน และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลักดันองค์กรไปสู่ World Class Organization ประกอบด้วย ความสามารถในการสร้างเครือข่ายหรือขับเคลื่อนกลยุทธ์ในการทำงาน (Building) ให้ความสำคัญกับการสร้างคน และพัฒนาคน (Enhancing Organization) การมีมุมมองทางด้านกลยุทธ์ (Sharpen Strategic) และมีความสามารถในการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำงาน (Transform Process Innovation)
8. เชี่ยวชาญ-คล่องตัว-ภาษาดี-ไอทีเยี่ยม คือทักษะสำคัญและจำเป็นของคนที่จะเข้ามาทำงานในตลาดแรงงานรุ่นใหม่ ที่กลุ่มมิตรผลมองว่าจะช่วยส่งเสริมการเติบโตและก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ดี คือ เชี่ยวชาญ รู้จริงในตำแหน่งหน้าที่และงานที่รับผิดชอบ, มีความคล่องตัวสูง สามารถทำงานได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานธุรกิจทั้งในออสเตรเลีย ลาว และจีน, ภาษาดี โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญในปัจจุบัน รวมทั้งมีทักษะในเรื่องของการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ดิจิทัลที่มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งให้ความสำคัญการเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา
9. กลุ่มมิตรผลมีการ Invest ในส่วนของการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรบุคคลอย่างเหมาะสม โดยจะมีการพิจารณาและจัดสรรงบประมาณตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา โดยมีสัดส่วนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5% ของอัตราเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้กับพนักงาน เนื่องจากการพัฒนาคนให้มีความพร้อมถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการพัฒนา แม้จะมีทุนมากแค่ไหน หรือมีเทคโนโลยีดีเพียงไร แต่ถ้าคนไม่มีความพร้อมก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้
10. การได้รางวัลสุดยอดนายจ้างดีเด่น Best Employer ติดต่อกันถึงสองปีซ้อน เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในการพัฒนาคนและสร้างความผูกพันต่อองค์กรของกลุ่มมิตรผล โดยเฉพาะการส่งเสริมและปลูกฝังภาวะผู้นำ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญให้พนักงานมีเป้าหมายร่วมกับองค์กร ส่งผลให้กลุ่มมิตรผลเป็นหนึ่งในองค์กรที่คนอยากร่วมงานด้วย และมีระดับความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรสูงถึง 75% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในองค์กรทั่วไปจะอยู่ที่ 66% รวมทั้งมีความสามารถในการทำกำไรได้มากว่าองค์กรทั่วไปถึง 51%