หลังบุกเบิกตลาดกล้อง Sport Action Camera ด้วยการนำเข้ากล้อง โกโปร (GoPro) มาทำตลาดในประเทศไทยเป็นรายแรกและรายเดียวตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบันตลาดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากขึ้น และสามารถขยายการเติบโตจนมูลค่าตลาดในปัจจุบันขยับมาเป็น 1 พันล้านบาทได้แล้ว โดยคาดว่าภายในอีก 5 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาดจะเพิ่มเป็น 2 พันล้านบาท ขณะที่โกโปรมีส่วนแบ่งตลาดอยู่กว่า 80% เป็นผู้นำตลาดในปัจจุบันด้วยยอดขายราว 5 หมื่นกว่าตัวต่อปี
คุณณัฐพล ปัทมพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมนทาแกรม จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายกล้องโกโปร รายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า หลังโกโปรบุกตลาดในประเทศไทยมาเกือบ 10 ปี วันนี้ตลาดและผู้บริโภคคนไทยเริ่มมีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ดีมากขึ้นรวมทั้งสินค้าสามารถเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็น Mass แล้ว แต่แนวโน้มตลาด Sport Action Camera ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรหรือเปรียบเทียบกับมูลค่าตลาดกล้องประเภทอื่นๆ แล้ว ตลาดนี้ยังถือว่ามีขนาดเล็กอยู่มาก โดยปัจจุบันมีอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15-20%
ขณะที่การเติบโตของโกโปรจะมาจากการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ จากแต่ละรุ่นที่นำเข้ามาทำตลาด ซึ่งเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาได้ทำตลาดมาแล้ว 11 รุ่น ประกอบกับการใช้แนวทางขยายตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ผ่านกลยุทธ์เชิง Emotional มากขึ้น ตั้งแต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยพยายามสื่อสารโอกาสในการใช้กล้องที่นอกเหนือจากใช้บันทึกภาพในระหว่างการเล่นกีฬา มาสู่ความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ และไม่จำกัดโอกาสในการขายอยู่เพียงเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ตลาดเมืองไทยโตด้วย “ท่องเที่ยว”
“แม้ Core Benefit ของกล้องโกโปรจะเริ่มด้วยเรื่องของกีฬา หรือกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมต่างๆ ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกันทั้งโลก แต่ตลาดประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่จะ Lead ด้วยเรื่องของกีฬา ทำให้เราเป็นประเทศแรกที่ขยายตลาดมาสู่กลุ่มไลฟ์สไตล์และท่องเที่ยว เพื่อให้โกโปรเป็นกล้องที่สามารถใช้งานได้ทุกเพศทุกวัย และยังช่วยสร้าง Brand Awareness ไปในวงกว้าง ทำให้ผู้คนทั่วไปรู้จักกล้องโกโปรมากขึ้น จนประเทศไทยกลายเป็นตลาดสำคัญที่สุดของโกโปรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยสัดส่วนยอดขายราว 25% ของทั้งภูมิภาค และยังถือเป็นต้นแบบในการทำตลาดผ่านไลฟ์สไตล์และท่องเที่ยวให้หลายๆ ประเทศอีกด้วย เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์”
นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้ภาพของแบรนด์เชื่อมโยงไว้กับเพียงแค่เรื่องของกีฬาแต่เพียงอย่างเดียว ทางโกโปรจึงได้ทำการปรับโลโก้ จากที่เคยมี Tag Line ว่า Be a Hero ให้เหลือเพียงโลโก้ GoPro เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในประเทศไทยที่คำว่า Hero ไม่ได้มีความหมายผูกติดอยู่เพียงแค่กลุ่มนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังหมายถึงกลุ่มผู้มีชื่อเสียงและเซเลบริตี้ด้วย การสร้าง Awareness ใหม่ให้กับโกโปรในฐานะกล้องสำหรับทุกคนที่ต้องการถ่ายรูปและแชร์ช่วงเวลาที่ดี ด้วยมุมภาพที่แตกต่างไปจากกล้องทั่วไปและคุณภาพความคมชัดของภาพในระดับสูง จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขยายกลุ่มเป้าหมายและโอกาสในการนำกล้องไปใช้งานได้มากขึ้น ทำให้ตลาดขยายตัวยิ่งขึ้น
ความเท่ ชิค และคูล ตัวตนที่ต้องรักษาไว้
หลังประสบความสำเร็จในการสร้าง Brand Awareness และยังทำให้ GoPro กลายเป็น Generic Name ของตลาดกล้อง Sport Action Camera ที่ก่อนหน้านี้คนไทยยังไม่คุ้นเคยมากนัก แต่ปัจจุบันสามารถขยายการใช้งานไปสู่กลุ่ม Mass เพื่อเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้แล้ว ทำให้คนทั่วไปเริ่มเข้าใจฟังก์ชั่นการใช้งานและคุ้นเคยกับกล้องประเภทนี้ดีขึ้น ทำให้หลังจากนี้ไปเมนทาแกรมจะเริ่มกลับมาตอกย้ำสิ่งที่เป็น Core Benefit ของกล้องโกโปรอีกครั้ง ด้วยการใช้กลยุทธ์ Sport Marketing เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความเป็นนักกีฬา แข็งแรง ท้าทาย ตื่นเต้น ผจญภัย และชอบแข่งขัน ทั้งการเข้าไปสนับสนุนการแข่งขันกีฬาระดับโลก หรือไปทำการตลาดร่วมกับแบรนด์รถยนต์ หรืออุปกรณ์กีฬาต่างๆ
“ช่วงที่ผ่านมาเราใช้งบราว 10% เพื่อเน้นการ Educated ตลาด โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้แนวทางการทำตลาดก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักกับเรื่องของไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่จากปีนี้จะเริ่มจัดสรรงบราว 30% ของงบการตลาดโดยรวมเพื่อใช้ทำตลาดในกลุ่ม Sport เพี่อใช้ในการตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ชัดเจนของโกโปรให้ยังคงมีความเป็นแบรนด์ที่มีความเท่ ชิค และคูล เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคนึกถึงภาพเหล่านี้ของโกโปรได้อยู่เสมอ ส่วนอีก 70% ยังคงให้น้ำหนักอยู่ในกลุ่มของไลฟ์สไตล์และท่องเที่ยว เพื่อต่อยอดแบรนด์ไปยังตลาดที่ใหญ่กว่าและสร้างการรับรู้แบรนด์และ Educated ตลาดอย่างต่อเนื่อง”
อีกหนึ่งแนวทางในการตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เด่นชัด คือ การเพิ่มช่องทางขายรูปแบบ Specialty Store หรือร้านค้าในกลุ่มเฉพาะทางมากขึ้น โดยเฉพาะร้านจำหน่ายอุปกรณ์ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์สินค้า เช่น อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ร้านมอเตอร์ไซค์หรืออุปกรณ์กีฬาต่างๆ จากที่ก่อนหน้านี้ได้เน้นขยายผ่านช่องทางให้ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้ามากที่สุด เช่น ร้านขายกล้อง ร้านขายสินค้าแก็ดเจ็ตไอที หรือร้านเชนสโตร์ต่างๆ เช่น เพาเวอร์บาย หรือบีเทรนด์ เป็นต้น โดยปัจจุบันโกโปรมีช่องทางจำหน่ายโดยรวมกว่า 400 จุด และมีตัวแทนจำหน่ายประมาณ 250 ราย
เพิ่ม “เทรนนิ่ง” ลูกค้าซื้อไปใช้ต้องสนุกกว่าที่เคย
สำหรับการแข่งขันในตลาดนี้ ยังไม่ค่อยมีคู่แข่งโดยตรงเข้ามามากนัก เนื่องจากขนาดของตลาดที่ยังถือว่าเล็กมาก แม้ในช่วงที่ตลาดเริ่มได้รับความสนใจจะมีแบรนด์ต่างๆ เข้ามาทดลองทำตลาดบ้าง แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ถอนตัวออกไป ขณะที่ผู้บริโภคเองมักจะใช้กล้องในกลุ่มนี้เพื่อเสริมสำหรับการทำไลฟ์สไตล์ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่จะมีกล้อง หรือสมาร์ทโฟนเพื่อใช้ควบคู่กัน ขณะที่การพัฒนาฟังก์ชั่นต่างๆ ของโกโปรทำให้เพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน รวมทั้งจุดเด่นในเรื่องของความทนทาน ขนาดเล็ก ทำให้สะดวกในการนำไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากกว่า
“เมื่อตลาดยังเล็กมาก ทำให้ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์ที่มีความครบวงจร ทั้งในเรื่องของคุณภาพ การรับประกันสินค้า รวมทั้งการมี Training Center เพื่อให้คำปรึกษาหรือแนะนำการใช้งานผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆ มารองรับการใช้ เพื่อให้สามารถตัดต่อและแชร์รูปภาพหรือเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้รู้สึกว่าโกโปรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ User Friendly ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะเข้ามาช่วยขยายฐานลูกค้าได้ เพราะที่ผ่านมาอาจจะยังมีลูกค้าบางส่วนที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้งานของกล้อง และมองว่าใช้งานได้ยากจนกลายเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคของการเติบโตเช่นกัน”
ปัจจุบันโกโปรเปิด Training Center สาขาแรก ร่วมกับทางเจมาร์ทที่สยามพารากอน เพื่อใช้เป็น Pilot Project ในการรับทราบฟีดแบ็คจากการใช้งานของลูกค้าเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดในด้านต่างๆ รวมทั้งเป็นที่ในการให้คำปรึกษาและแนะนำการใช้งานหรืออุปกรณ์ต่างๆ ของโกโปร เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานกล้องได้ตอบโจทย์กับสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ตรงที่สุด ซึ่งในปีหน้ามีแผนลงทุนขยาย Training Center เพิ่มเติมอีก 4 แห่ง เป็นสาขาใน กทม. 1 แห่ง และต่างจังหวัด ที่เชียงใหม่ ภูเก็ต และในภาคอีสานอีก 1 สาขา ซึ่งอาจจะอยู่ในจังหวัดอุดร หรือขอนแก่น รวมทั้งมีแผนนำสินค้าโกโปรตัวใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มติม ได้แก่ ฟิวชั่น (Fusion) ที่สามารถถ่ายภาพได้ 360 องศา และมีความละเอียดมากถึง 5.2K
ส่งท้ายปีด้วย GoPro Hero 6 Black
ปัจจุบันแบรนด์โกโปรเป็นผลิตภัณฑ์หลักของเมนทาแกรม ด้วยสัดส่วนยอดขาย 80% ของรายได้รวมทั้งบริษัทประมาณ 650 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีนี้ไว้ที่ 800 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 20% และสอดคล้องกับการเติบโตของตลาดกล้อง Sport Action Camera โดยรวมที่คาดว่าจะโตประมาณ 15-20% เช่นเดียวกัน เนื่องจากโกโปรเป็นแบรนด์หลักในการขับเคลื่อนตลาดนี้
โดยล่าสุดได้ทำการเปิดตัวกล้อง GoPro HERO6 Black เพิ่มเติมจาก 2 รุ่นหลักที่ทำตลาดในปัจจุบัน คือ GoPro HERO 5 และ GoPro HERO 5 Session โดยวางจำหน่ายในราคา 18,500 บาท เพื่อเสริมตลาดที่ต้องการความ Professional เพิ่มขึ้น ขณะที่ GoPro 5 จะยังคงเป็นรุ่นหลักเพื่อทำตลาด Main Stream โดยฟังก์ขั่นพิเศษเพิ่มเติมที่มาพร้อม GoPro HERO 6 เช่น การถ่ายวิดีโอ 4K60Fps(Frames Per Second) และ 1080p240 สามารถบันทึกวิดีโอและภาพถ่ายที่คมชัดได้แม้แสงน้อย ให้ความเร็วในการคัดลอกภาพถ่ายและวิดีโอไปยังโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ได้เร็วขึ้น 3 เท่า ด้วยคุณสมบัติ 5GHz Wi-Fi รวมถึงการอัพโหลดไปยังระบบคลาวด์ของโกโปรที่ชื่อว่า GoPro Plus อัตโนมัติ
ตัวกล้องยังเพิ่มความสะดวกและง่ายในการใช้งานด้วยระบบควบคุมด้วยเสียง ระบบช่วยลดการสั่นไหวของวิดีโอ การมีจอภาพแบบสัมผัสครั้งแรก และการออกแบบที่มีความทนทานกันน้ำได้ลึกถึง10 เมตร โดยไม่ต้องใส่กรอบ พร้อมแชร์เรื่องราวสุดประทับใจผ่าน Quik Application ได้อย่างง่ายดายและสนุกสนาน รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมชิฟเซ็ท GP1 รุ่นใหม่ ซึ่งจะทำให้ได้วิดีโอมีสีสันที่สวยงามขึ้น, ได้ภาพนิ่งที่สวยโดยไม่ต้องปรับให้ยุ่งยาก ยกระดับความสามารถการแสดงผลในคอมพิวเตอร์ และมีระบบวิเคราะห์ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในคลิปวิดีโอ เพื่อสนับสนุนระบบ อัจริยะของ Quik Application อีกด้วย
“บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย GoPro HERO 6 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ไว้ที่ราว 1 หมื่นตัว หรือคิดเป็นสัดส่วน 25-30% ของยอดขายโกโปรโดยรวม โดยในการเปิดตัวครั้งนี้ ยังได้มีการจัดแคมเปญ MyGoProMoment เพื่อให้ผู้ใช้โกโปรร่วมถ่ายทอดเรื่องราวด้วยภาพวิดีโอที่ตัดต่อผ่าน Quik Application แอปพลิเคชันตัดต่อวิดีโออัจฉริยะตัวใหม่จากโกโปร แล้วแชร์ผ่าน FB หรือ IG พร้อม #MyGoProMoment #GoProThailand และติดแท็กเพจ GoProThailand เพื่อลุ้นรับ GoPro HERO6 Black 6 รางวัล และสำหรับผู้แชร์วิดีโอโปรโมทแคมเปญจาก Facebook จะได้สิทธิ์ลุ้นรับ GoPro HERO6 Black 1 รางวัล เรียกได้ว่ากระตุ้นให้ผู้บริโภคได้โชว์ของกันเต็มๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่กำลังจดๆ จ้องๆ ตัดสินใจอยู่ได้เห็นภาพการใช้งานมากขึ้น