เป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว ที่การพัฒนาโครงการใหญ่ในรูปแบบของการสร้างชุมชนเมือง หรือ Community บนที่ดินร้อยกว่าไร่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลแทบไม่ปรากฏให้เห็น เพราะด้วยราคาที่ดินแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามการพัฒนาของเมือง ประกอบกับการแข่งขันซื้อที่ดินของ Developer รุนแรงขึ้น ทำให้ที่ดินขนาดใหญ่ “ทำเลทอง” หายากขึ้น โดยโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่สุดในยุคนี้ จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 50 ไร่
อย่างไรก็ตาม ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ “Re-Invention 2020” ของ “SC Asset” ที่ปรับวิธีคิดจากการเป็น Developer ก้าวสู่การเป็น “Living Solutions Provider” พร้อมด้วยเป้าหมายยอดขาย 3 ปี (2018 – 2020) มากกว่า 60,000 ล้านบาท
หนึ่งในไฮไลท์ของแผนนี้ คือ การสร้างชุมชนเมืองในรูปแบบโครงการแนวราบ ที่ผสมทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ภายใต้แนวคิด “township concept development” จำนวน 2 โครงการ บนที่ดินผืนใหญ่ทำเลกรุงเทพฯ ตะวันออก “กรุงเทพกรีฑา” ที่ดินกว่า 115 ไร่ และกรุงเทพฯ ตะวันตก “บางกระดี” จังหวัดปทุมธานี ที่ดินกว่า 200 ไร่ มูลค่าทั้งสองโครงการรวมกัน ไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท
สำหรับการสร้างชุมชนเมืองบริเวณ “กรุงเทพกรีฑา” มูลค่าโครงการโดยรวม 4,000 ล้านบาท บนที่ดินผืนเดียวกันจะประกอบด้วยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ 5 โครงการ ราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป โดยภายในปีนี้จะทดลองเปิด 3 โครงการก่อน ภายใต้แบรนด์ Verve, Venue, Bangkok Boulevard
ขณะที่ “บริเวณบางกระดี” มูลค่าโครงการโดยรวมไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ 7 โครงการ ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาทขึ้นไป ภายในปีนี้นำร่องโครงการแบรนด์ Verve และ Venue
“แต่ก่อนด้วยขนาดธุรกิจของ SC Asset ไม่ได้ใหญ่มาก เพราะฉะนั้นในเชิงการเงิน เราต้องทำโครงการขนาดพื้นที่ 30 – 50 ไร่ เพื่อหมุนรอบได้เร็ว ขณะที่วันนี้ขนาดธุรกิจ SC Asset ใหญ่ขึ้น เราสามารถซื้อทีดินผืนใหญ่ จึงตัดสินใจซื้อ 2 แปลงนี้
เรามองว่าในระยะยาว เราจะได้เปรียบทางการแข่งขัน และการซื้อที่ดินผืนใหญ่ กับผืนเล็ก มีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน ข้อดี คือ เงินได้เร็ว หมุนรอบได้เร็ว ส่วนที่ดินแปลงใหญ่ หมุนรอบช้า แต่ต้นทุนดีกว่า เพราะเมื่อโครงการพัฒนาเข้าสู่ปีที่ 3 – 4 ต้นทุนจะแข่งขันกับตลาดได้ และการมีโครงการระยะยาวเช่นนี้ เพื่อเป็นการบริหาร Portfolio โครงการระยะสั้น และระยะยาวของบริษัทฯ เราคงไม่ได้ทำโครงการระยะสั้นอย่างเดียว
ด้วยที่ดินขนาดใหญ่ เราจึงทยอยเปิดโครงการบ้าน “กรุงเทพกรีฑา” 5 โครงการ ขณะที่ “บางกระดี” 7 โครงการ คาดว่าใช้เวลา 7 – 8 ปีเปิดครบ โดยในระหว่างทำโครงการบ้าน ก็จะดู Demand ตลาดไปด้วย เพื่อปรับให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดในขณะนั้น” คุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว
คาดว่าถ้าทั้ง 5 โครงการใน “กรุงเทพกรีฑา” สร้างเสร็จทั้งหมด Community นี้จะมีไม่ต่ำกว่า 800 – 1,000 ครัวเรือน ส่วน “บางกระดี” 7 โครงการ จะมีประมาณ 1,500 ครัวเรือน ถือเป็น “ชุมชนเมือง” ขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในปัจจุบัน ที่ใหญ่สุดมีประมาณ 500 ครัวเรือน
อย่างไรก็ตามหลักสำคัญของการสร้าง “ชุมชน” ต้องสร้างให้ครบวงจร ทั้งที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวก ดังนั้นทั้งสองโครงการนี้ นอกจากที่อยู่อาศัยแล้ว จึงต้องเติมองค์ประกอบอื่นๆ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะสร้างเป็นอะไร โดยอาจสร้างเป็นคลับเฮ้าส์ สปอร์ตคลับ รวมไปถึงมีพื้นที่ค้าปลีก
คุณอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธาน เจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร เผยว่า “แนวคิด Living Solutions Provider ไม่ได้หมายถึงการพัฒนาด้านดิจิทัลทั้งหมด แต่ยังรวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ ดังนั้นการสร้างสองโครงการดังกล่าว ขณะนี้บริษัทกำลังคุยกับพันธมิตรธุรกิจ เพื่อทำให้โครงการมีองค์ประกอบสมบูรณ์ของความเป็นชุมชน ซึ่งองค์ประกอบด้าน “รีเทล” เป็นหนึ่งใน Solution ที่เรากำลังพิจารณา ไม่ได้ปิดกั้นไอเดียนี้ แต่ถ้าจะทำ คงต้องหาพันธมิตรธุรกิจมาทำในส่วนนี้ เพราะความถนัดของ SC Asset คือ การพัฒนาที่อยู่อาศัย และคงไม่ได้ทำเป็นรีเทลขนาดใหญ่”
ผ่า 4 กลยุทธ์ พลิกโฉมเป็น “Living Solutions Provider”
เป้าหมายก้าวสู่การเป็น “Living Solutions Provider” ของ “SC Asset” จะเกิดจากการร่วมงานของ 3 กลุ่ม คือ
1. Incumbents หรือ Stakeholders เดิมในอุตสาหกรรมเดิม
2. Tech Entrepreneurs
3. Digital Giants บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่จะขยายขนาดและขอบเขตการทำธุรกิจครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม
จากการผนึก 3 ความร่วมมือดังกล่าว นำมาสู่ 4 กลยุทธ์สำคัญคือ
1.Re-Invention ผ่าน 3D ประกอบด้วย
– Digitize ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานจาก Analog เป็น Digital เพื่อจะนำ Data ทั้งในส่วนการทำงานและความต้องการของลูกค้า มาวิเคราะห์และพัฒนาให้ดีขึ้น
– Design ใช้หลัก Human-centric ออกแบบสินค้า บริการ และ Solutions ที่เริ่มต้นทำความเข้าใจปัญหาการใช้ชีวิตของลูกค้า
– Develop ประสานนวัตกรรม และพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพทุกระดับราคา
2. Co-Creation ร่วมกับพันธมิตรในระบบ ecosystem เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยและบริการหลังการขาย ให้ลูกค้าและชุมชนข้างเคียง
3. Quality First ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและบริการ ทั้งก่อนส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้า และหลังส่งมอบที่อยู่อาศัย
4. Top-line Growth เติบโตทั้งยอดขายและรายได้