กระแสการใช้งานเครือข่าย 5G ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของโลกกำลังจะเริ่มทดลองให้บริการ 5G ในปี 2561 และคาดว่าจะมีการเปิดตัวเครือข่ายเต็มรูปแบบในปี 2562 ด้านโนเกียแสดงความพร้อมสำหรับเครือข่าย 5G ด้วยการนำนวัตกรรมไปแสดงใน Mobile World Congress (MWC) 2018 ซึ่งมีส่วนที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่
– ชิปเซ็ต ReefShark ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงมากในเครือข่าย 5G โดยการเพิ่มปริมาณงาน (throughput) ของเซลล์ไซต์ได้ถึง 1 ใน 3 ลดขนาดเสาอากาศ MIMO ที่เดิมมีขนาดใหญ่และใช้พลังงานมาก ชิปเซ็ตดังกล่าวฝังขีดความสามารถของ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทรัพยากรคลื่นวิทยุและรองรับเครือข่ายแยกส่วน (Network Slicing) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม AirScale ระดับเทราบิต ซึ่ง Airscale เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ 5G แบบครบวงจรของโนเกีย ปัจจุบันโนเกียกำลังทดสอบชิปเซ็ต ReefShark นี้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมจำนวน 30 ราย
– สถาปัตยกรรมเครือข่าย Future X สำหรับ 5G ที่ให้ประสิทธิภาพเครือข่ายที่ล้ำยุคและช่วยลดต้นทุน
– Future X ผสาน 5G New Radio ความจุสูง เข้ากับ Core และตัวนำสัญญาณ ‘Anyhaul’ ที่ควบคุมด้วย SDN (Software-Defined Networking) เพื่อให้บริการเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ที่สมบูรณ์แบบ
– สถาปัตยกรรมเครือข่ายและชิปเซ็ต ReefShark ให้ขีดความสามารถในการปรับขนาดและประสิทธิภาพที่เหนือชั้นกว่า โดยเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าของเทคโนโลยี RAN ปัจจุบันของโนเกีย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีผู้นำตลาดในขณะนี้
– ระบบอัตโนมัติที่ใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) แบบเปิดของโนเกียช่วยประหยัดต้นทุนในการเป็นเจ้าของ (TCO) ได้ถึง 30%
ปัจจุบันโนเกียทำงานร่วมกับผู้ให้บริการฯหลายรายเพื่อทำให้ 5G เป็นจริงได้ในเชิงพาณิชย์ เพียงสองเดือนแรกของปี 2018 โนเกียได้ประกาศโครงการความร่วมมือในด้าน 5G กว่า 10 โครงการร่วมกับผู้ให้บริการฯ อาทิ เช่นข้อตกลงในการจัดหาอุปกรณ์ 5G ให้กับ NTT DOCOMO เพื่อรองรับการเปิดตัวบริการ 5G เชิงพาณิชย์ (คลิก ที่นี่ เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
– บริการรักษาความปลอดภัยสำหรับเครือข่ายยุคดิจิตอล ซึ่งช่วยให้เครือข่ายการสื่อสารได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามทั้งหมดอย่างเพียงพอและมีการป้องกัน การตรวจหา และการตอบสนองต่อการโจมตี รวมถึงการกู้คืนระบบ ผู้ให้บริการฯ สามารถให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Managed Security แก่ลูกค้าองค์กรภายใต้แบรนด์ของตนเอง เป็นการร่นระยะพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด และเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ในตลาดการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายสำหรับองค์กร ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
– บริการและเทคโนโลยีที่ช่วยผู้ให้บริการโทรคมนาคมตอบสนองความต้องการของเมืองดิจิตอล ซึ่งได้แก่:
– IoT สำหรับ Smart Cities ของโนเกีย เป็น framework แบบโมดูล ปรับขนาดได้ และครบวงจร เพื่อให้บริการและจัดการบริการต่างๆ ของเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบกล้องวงจรปิด แสงสว่าง ที่จอดรถ การจัดการขยะ และการตรวจวัดด้านสิ่งแวดล้อม
– Sensing as a Service ซึ่งขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี blockchain เพื่อความสมบูรณ์ของข้อมูล ให้ขีดความสามารถในการวิเคราะห์อัจฉริยะเกี่ยวกับข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่ผู้ให้บริการฯสามารถเสนอขายให้กับเมืองหรือหน่วยงานอื่นที่รับผิดชอบได้
– S-MVNO (Secure Mobile Virtual Network Operator) เพื่อความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย LTE ด้วยบริการบรอดแบนด์สำหรับหน่วยงานความปลอดภัยสาธารณะ สร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้แก่ผู้ให้บริการฯ
– การเพิ่มประสิทธิภาพของโซลูชั่น Wi-Fi แบบใช้ได้ในบ้านทั้งหลัง (whole-home) สำหรับผู้ให้บริการฯเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้บริการเครือข่ายที่ชาญฉลาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น
โนเกียเพิ่มประสิทธิภาพหลายด้านของโซลูชั่น Wi-Fi สำหรับใช้งานในบ้าน ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการเครือข่าย โซลูชั่น Wi-Fi ใหม่นี้ได้เพิ่ม Wi-Fi เกตเวย์ที่เชื่อมต่อแบบเมช (Mesh) และบีคอน ทำให้ผู้ให้บริการฯ มี Wi-Fi Home Portal ใหม่ไว้ให้บริการ นำเสนอแอพพลิเคชั่นบนมือถือสำหรับผู้ใช้ และมีฟังก์ชั่นของซอฟท์แวร์และเครื่องมือวิเคราะห์ใหม่ๆ ที่ช่วยยกระดับระบบเครือข่ายอัจฉริยะ
– การทำงานร่วมกันกับ Facebook เพื่อขยายระบบนิเวศสำหรับ Fixed Wireless Access บนย่านความถี่ 60 GHz
โนเกียและเฟซบุ๊กกำลังเร่งนำเทคโนโลยีไร้สายความเร็วสูง 60 GHz แบบ fixed wireless access เพื่อนำเสนอบริการสื่อสารระดับกิกะบิตเพื่อเชื่อมต่อผู้คนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ย่านความถี่ 60 GHz ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อบรอดแบนด์ความเร็วสูงในเขตเมืองหรือชานเมืองได้ โดยโนเกียจะผสานความสามารถในการนำเสนอบริการที่ครอบคลุมทั่วโลกและเครือข่าย wireless passive optical network (WPON) กับเทคโนโลยี Terragraph ของ Facebook เพื่อเริ่มทดลองให้บริการบรอดแบนด์ระดับกิกาบิตในปี 2018 (เริ่มที่ลูกค้าบางราย)
– ความร่วมมือกับเครือข่าย โวดาโฟน (Vodaphone) เพื่อนำ 4G ไปยังดวงจันทร์
โวดาโฟน เยอรมนี ได้แต่งตั้งให้ โนเกีย เป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเครือข่ายมาตรฐานบนยานอวกาศ ขนาดกระทัดรัด (Ultra Compact Network) ซึ่งมีน้ำหนักเทียบเท่ากับถุงใส่น้ำตาล (น้อยกว่า 1 กิโลกรัม) เพื่ออำนวยความสะดวกในการถ่ายทอดสดวิดีโอคุณภาพระดับเอชดี สำหรับภารกิจ Mission to the Moon ในปี 2562
– แนวคิด “Conscious factory in a box” ให้โซลูชั่นที่ตอบสนองต่อความต้องการของ Industry 0
โนเกียและอีก 12 องค์กรในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เปิดเผย “Conscious factory in a box” โดยนำแนวคิด ที่มีจุดประสงค์เพื่อสร้างสายการผลิตอิเล็กทรอนิกส์สายเดี่ยว โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ผลิตสินค้าที่สามารถเคลื่อนที่ไปยังจุดที่ต้องการได้ ความร่วมมือนี้ได้ถูกขับเคลื่อนโดยความเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ไว้ในอุตสาหกรรมสายการผลิต ที่ถูกกระตุ้นโดย Industry 4.0 ซึ่งประกอบด้วย โซลูชั่นที่มีระบบคลาวด์เป็นพื้นฐาน หุ่นยนต์ และโซลูชั่นไอโอทีเพื่อการผลิตอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการความคล่องตัวสูงและความยืดหยุ่นจากผู้ผลิต
นายเซบาสเตียน โลรองท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย และ กัมพูชา โนเกีย กล่าวว่า “ภายในงาน Mobile World Congress 2018 บูธของโนเกียได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้ร่วมงานชาวไทย ซึ่งได้เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับโซลูชั่นที่เหมาะสมต่อการพัฒนาให้เกิด สมาร์ท ซิตี้ (Smart City) สมาร์ท เฮล์ท (Smart Health) และ สมาร์ท อินดัสทรี่ (Smart Industry) ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทย 4.0 โดยโนเกียได้นำเอาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) มาใช้ในหลายๆโซลูชั่น โนเกียเป็นผู้นำระดับโลกเพียงรายเดียวที่นำเสนอระบบเครือข่ายและบริการแบบครบวงจร และเป็นเหตุผลที่ทำให้เรามีความพร้อมที่สุดในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงตามวิสัยทัศน์ประเทศไทย 4.0″