ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยปี 2560 มีมูลค่ารวมกว่า 1.68 แสนล้านบาท และมีอัตราการเติบโตถึง 7.8% โดยตลาดรวมแบ่งเป็น กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (skincare) สัดส่วน 47% ผลิตภัณฑ์ผม (hair) สัดส่วน 18% เครื่องสำอาง (makeup) สัดส่วน 14% ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย (hygiene) สัดส่วน 16% และน้ำหอม (fragrance) สัดส่วน 5%
ตลาดเครื่องสำอางเติบโตต่อเนื่องทุกปีและเติบโตมากกว่าจีดีพีของประเทศด้วยซ้ำ เหตุผลสำคัญเป็นเพราะเครื่องสำอางได้กลายมาเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันของบรรดาสาวๆ เพื่อใช้ดูแลตัวเองให้ดูดี และ เป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์คนยุคปัจจุบัน แถมสาวไทยก็เริ่มต้นใช้ผลิตภัณฑ์อายุน้อยลงเรื่อยๆ ฝั่งผู้ประกอบการเองก็มีนวัตกรรมและสินค้าใหม่ ที่ออกมาตอบรับไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วย
ด้วยขนาดตลาดที่ใหญ่และดีมานด์เติบโตต่อเนื่องทุกปี กลายเป็นเค้กก้อนใหญ่ที่หอมหวาน ส่งผลให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้ามาขอแบ่งชิ้นเค้กก้อนนี้จากผู้เล่นรายเดิมอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญสามารถชิงเค้กได้สำเร็จเสียด้วย สามารถสร้างรายได้เอาไปเสริมธุรกิจเดิม การต่อยอดจากธุรกิจหลัก บางรายมีรายได้พุ่งแซงธุรกิจเดิมจนกลายมาเป็นธุรกิจหลักด้วยซ้ำ หากดูเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย (SET) มีหลายบริษัทที่เริ่มแตกไลน์สู่ธุรกิจเครื่องสำอาง บางบริษัทเปลี่ยนพอร์ตมาทำธุรกิจเครื่องสำอางโดยตรงเลยก็มี
ลองมาทำความรู้จักกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเครื่องสำอาง หรือแตกไลน์เข้ามาในตลาดเครื่องสำอาง จนสามารถสร้างการเติบโตและประสบความสำเร็จให้เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นใครกันบ้างและมีเส้นทางอย่างไร
บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY
ช่วงปี 2541 นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ได้เริ่มต้นธุรกิจด้วยการเปิดร้านจำหน่ายปลีกเครื่องสำอางและบำรุงผิวนำเข้า “นีโอ” ที่ศูนย์การค้าสยามสแควร์ ต่อมาได้ขยายธุรกิจไปยังศูนย์การค้ามาบุญครองภายใต้ชื่อ “โมนา” ต่อมาปี 2543 ได้จัดตั้งบริษัท โมนา โพลิแตนท์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าเครื่องสำอางอย่างจริงจังทั้งสินค้าที่ผลิตขึ้นในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ปี 2547 ได้เปลี่ยนชื่อร้านเป็น “คอสเมดา” ก่อนที่เดือนธันวาคม 2549 เปลี่ยนชื่อร้านเป็น “บิวตี้ บุฟเฟต์” และเปิดสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล วงศ์สว่าง ต่อมาปี 2554 เปิดร้านบิวตี้ คอทเทจ เพิ่มอีกหนึ่งแบรนด์ หลังจากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2555 จึงได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริษัทก็สร้างการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง มีการขยายสินค้า แบรนด์ ช่องทางจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโต ข้อมูลปี 2560 บริษัทมีร้านบิวตี้ บุฟเฟต์ทั้งสิ้น 277 สาขา ร้านบิวตี้ คอทเทจ 75 สาขา ร้านบิวตี้ มาร์เก็ต 9 สาขา และยังมีช่องทางออนไลน์ของตนเอง beautyplazaonline.com ปัจจุบันมีแบรนด์สินค้าของตนเองจำนวนมากครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า อาทิ เมด อิน เนเจอร์, บิวตี้ คอทเทจ, SENTIO, THE BAKERY,GINO McCRAY ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายสูงสุดในกลุ่มผู้ประกอบการจำหน่ายปลีกเครื่องสำอาง ด้วยยอดขายกว่า 3,735.37 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2561 ก็ทำรายได้โดดเด่นด้วยมูลค่า 904.92 ล้านบาท ทำกำไรได้ถึง 282.41 ล้านบาท
บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART
ถือเป็นกรณีตัวอย่างได้อย่างชัดเจนอีกบริษัทหนึ่ง ในการแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอาง จนประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าผลิกธุรกิจขาลงให้กลับมาสร้างการเติบโตอีกครั้ง จากจุดเริ่มต้นดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ไดสตาร์ (Distar) ใช้ชื่อ บริษัท ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด ในปี 2525 หลังจากนั้นไม่นานก็นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2537 และมีการขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ภายใต้แบรนด์ HIGER เพิ่มจากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ดูเหมือนการดำเนินธุรกิจจะไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ เพราะธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา แบรนด์สินค้าจากต่างประเทศมีความแข็งแกร่าง ขณะที่แบรนด์สินค้าจากประเทศจีนก็ทำราคาได้ถูกกว่าด้วย
ช่วงปี 2552 จากการมองเห็นโอกาสทางการตลาดในกลุ่มเครื่องสำอางของ คุณวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้ก่อตั้งแบรนด์ไดสตาร์ จึงได้เริ่มนำเข้าเครื่องสำอางและบำรุงผิวจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาด ภายใต้แบรนด์คาร์มาร์ท ด้วยเทรนด์ของตลาดประกอบกับการวางแผนทางการตลาดอย่างดี ส่งผลให้เพียงระยะเวลา 5 เดือนสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้ถึง 100% ปีต่อมาจึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็นบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) เพื่อทำธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างเต็มตัว จนปัจจุบันมีแบรนด์สินค้าเป็นของตนเอง อาทิ เคที่ดอลล์ (Cathy Doll) เคที ชู (Cathy Choo) รื่นรมย์ (Reunrom) เครยอน (Crayon) และ โอปป้า สไตล์ (Oppa Style) เป็นต้น และเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์โบย่า (Boya) และมิสชา (MISSHA) ซึ่งมีช่องทางการจัดหน่ายสินค้าครอบคลุมทั้งโมเดิร์นเทรดและเทรนดิชั่นนอลเทรดทั่วประเทศ รวมถึงมีร้านคาร์มาร์ทกว่า 65 สาขาทั่วประเทศด้วย ปีที่ผ่านมามีรายได้ 1,551.63 ล้านบาท กำไร 281.63 ล้านบาท ส่วนไตรมาสแรกของปีนี้มีรายได้ 378.87 ล้านบาท มีกำไร 71.52 ล้านบาท
บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS
อาร์เอส ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทเช่นกัน ที่ได้ปรับตัวเองเข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอางรวมถึงสินค้าสุขภาพจนสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างงดงาม หลังจากที่ธุรกิจหลักแต่เดิม คือ ธุรกิจสื่อและบันเทิง ซึ่งนับวันมีแต่ขาลง เพราะที่มีการแข่งขันสูง และยังเผชิญปัญหา Digital Disruption ที่ส่งผลกระทบต่อไลฟ์สไตล์และการเสพสื่อความบันเทิงของคนยุคปัจจุบันเให้ปลี่ยนแปลงไป กระทบต่อรายได้ของบริษัทที่ชะลอตัวลง คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือเฮียฮ้อ เจ้าของธุรกิจจึงมองหาโอกาสทางการตลาดในธุรกิจใหม่ๆ จากเทรนด์ของผู้บริโภคที่หันมาสนใจดูแลตัวเองมากขึ้น จึงจัดตั้งบริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด แตกไลน์ธุรกิจเพื่อทำตลาดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสุขภาพ ภายใต้แบรนด์มาจีค (Magique) รีไวฟ์ (Revive) และเอส.โอ.เอ็ม (S.O.M.) ประกอบกับใช้ความได้เปรียบจากการมีช่องโทรทัศน์และมีเดียอื่นๆ ในมือมาเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายและโฆษณาสินค้า โดยเฉพาะทีวีช่อง 8 ที่มีเรตติ้งของช่องติดอันดับต้นๆ จึงขนสินค้าไปโฆษณาและขายผ่านช่องทางทีวีช้อปปิ้ง และคอลเซ็นเตอร์จนประสบความสำเร็จ
“การไม่ยึดติดกับความสำาเร็จในอดีต และต้องเข้าใจว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวใดๆ เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญอยู่ที่การเรียนรู้ละเข้าใจเรื่องราวในอดตีต ค้นหาจุดแข็งลบจุดอ่อนพัฒนาตัวเราตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเพื่อให้มีสายตาที่แม่นยำ และสามารถ คาดการณ์อนาคตได้ดีขึ้น ผนวกกับการหลอมรวมกันของสัญชาตญาณของการอยู่รอดและสัญชาตญาณของการเอาชนะ และทัศนคติเชิงบวก พร้อมที่จะทุ่มเทฝ่าฟันทุกอุปสรรค นั่นจะเป็นพลังที่ก้าวสู่ความสำเร็จได้ไม่ยากนัก” วิชั่นของเฮียฮ้อ ที่ทำให้อาร์เอสประสบความสำเร็จในธุรกิจเครื่องสำอางและสินค้าสุขภาพ
ปีที่ผ่านมาอาร์เอสจึงประสบความสำเร็จกับรายได้ของกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางและสุขภาพ ด้วยมูลค่ากว่า 1,389.18 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของรายได้รวมของบริษัท และเติบโตจากปี 2559 ที่ทำรายได้เพียง 227.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 8% ของรายได้รวมเท่านั้น ถือว่าเป็นการเติบโตกว่า 6 เท่าตัวจากปีที่ผ่านมา ส่วนกำไรมีมากกว่า 922.07 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้เฮียฮ้อมุ่งหวังว่าธุรกิจเครื่องสำอางและสุขภาพจะก้าวขึ้นมาเป็นรายได้หลักของอาร์เอสด้วย ปัจจุบันอาร์เอสยังคงมีธุรกิจสื่อและธุรกิจบันเทิงต่างๆ อยู่ในมือ แต่จะมีบทบาทสำคัญในด้านการส่งเสริมให้ธุรกิจหลักเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นอกจากการสร้างการเติบโตของตนเอง
นี่อาจจะเป็นแค่ 3 องค์กรตัวอย่าง ที่ฉายภาพของการเติบโตในธุรกิจเครื่องสำอางให้เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างความสำเร็จให้กับผู้ประกอบการได้ไม่ยากนัก หากมีการแสวงหากโอกาสทางการตลาด และการพัฒนาศักยภาพของตนเองที่มีอยู่ ให้สามารถแข่งขันได้ในธุรกิจเครื่องสำอาง เพราะแม้ว่าตลาดจะมีขนาดใหญ่ แต่การแข่งขันก็รุนแรงไม่แพ้กัน ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการรายใหม่จะยังคงเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่องด้วย ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวจากบริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิต ประกอบ และจัดจำหน่ายชิ้นส่วนพลาสติกวิศวกรรม และผู้ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและสวีเดน ได้จัดตั้งบริษัท ซีโฟร์ โกบอล จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้าเครื่องสำอางและความงามในลักษณะมัลติแบรนด์ช้อป โดยมีสินค้ากว่า 300 แบรนด์ ภายใต้ชื่อร้าน เฮ้ สตรีทบิวตี้ ( HEJ Street Beauty) เบื้องต้นเปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา ที่อาคารญาดา บนถนนสีลม และเซ็นทรัล พระราม 2
โดยบริษัทมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยภายในปี 2563 จะขยายสาขาในประเทศไทยให้ครบ 100 แห่ง ด้วยงบลงทุน 2,000 ล้านบาท นอกจากช่องทางการจัดจำหน่ายในรูปแบบร้านมัลติแบรนด์ดังกล่าวแล้ว ยังมีแผนขยายจุดจำหน่ายในคอนเซ็ปต์ร้านเครื่องสำอางเคลื่อนที่ (Beauty Mobile) เช่น ร้านขายสินค้าความงามขนาดเล็ก (Beauty Box) รถขายสินค้าความงามเคลื่อนที่ (Beauty Truck) และตู้ขายสินค้าความงามอัตโนมัติ (Beauty Vending Machine) ที่พร้อมให้บริการในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ก่อนหน้านี้ บริษัท แกรททิทูด อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ GIFT ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เคมีสำหรับการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีธุรกิจหลัก คือ การรับจ้างผลิตสินค้าเครื่องสำอาง สินค้าของใช้ส่วนบุคคลต่างๆ ก็ได้พัฒนาแบรนด์สินค้าของตนเองขึ้นมาเพื่อทำตลาดด้วยเช่นกัน ภายใต้แบรนด์ เดอ ลามัว (DE L’AMOUR) โดยให้บริษัท ลาวิช แลบบอราทอรี จำกัด เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผ่านช่องทางออนไลน์ และคอลเซ็นเตอร์ จากการมองเห็นโอกาสทางการตลาด ประกอบกับความสามารถด้านการผลิตสินค้าที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ในเมื่อผู้หญิงไม่ยอมหยุดสวย แถมปริมาณผู้หญิงก็มีสัดส่วนมากกว่าผู้ชายมากขึ้นทุกๆ วัน ก็เลยเป็นโอกาสทางการตลาดที่มีดีมานด์มหาศาล ซึ่งจะสร้างรายได้และผลกำไรให้ผู้ประกอบการได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ หากสามารถพัฒนาสินค้าให้ออกมาโดนใจสาวๆ ความสำเร็จก็อยู่แค่ปลายนิ้ว