ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2010 ที่ประเทศเผชิญปัญหาการเมือง จนมาถึงเหตุการณ์ที่คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้า ทำให้การจัดงานอีเว้นท์เกิดขึ้นได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามสถานการณ์และภาวะบ้านเมือง เรียกได้ว่า ธุรกิจอีเว้นท์ได้รับผลกระทบเป็นระรอกคลื่น แต่สถานการณ์ในปีนี้มีทิศทางสดใส และเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่ได้มีเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรมากระทบให้ไม่สามารถจัดงานอีเว้นท์ได้ ทำให้มีการประเมินว่าภาพรวมตลาดอีเว้นท์ที่ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 13,200 ล้านบาท จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
ห้างใหม่ พื้นที่ใหม่ อีเวนต์สดใหม่
ยิ่งมีปัจจัยบวกจากธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในไทย เตรียมพาเหรดเปิดห้างใหม่กันในช่วงครึ่งปีหลัง ถือเป็นแรงส่งที่ทำให้ภาพรวมตลาดดูดีขึ้นทีเดียว ยังไม่นับรวมกับบรรดาแบรนด์สินค้าต่างๆ จะทำกิจกรรมการตลาดสารพัดรูปแบบอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่ภาครัฐเองก็มีงานอีเว้นท์ในมือที่ยังคงต้องจัดต่อเนื่องด้วย ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อก็ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่มีรายได้เพิ่มจากราคาพืชผลที่ปรับตัวดี ภาคการท่องเที่ยวก็สดใสมาอย่างต่อเนื่องด้วย หลายๆ ปัจจัยดังกล่าวล้วนแต่เป็นแรงบวกหนุนให้ธุรกิจอีเว้นท์เติบโตต่อเนื่องไปได้ด้วยดี
คุณเกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่ร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ก็มองเห็นปัจจัยบวกต่างๆ เหล่านั้นเช่นกัน จึงถือโอกาสจัดงาน Turn On 2018 เปิดบ้านโชว์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการจัดงานอีเว้นท์ ให้กับบรรดาลูกค้าทั้งเก่าและใหม่เกือบ 1,000 ราย ได้เห็นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาช่วยการจัดงานอีเว้นท์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งบริษัทไม่ได้จัดงานลักษณะนี้มานานถึง 3 ปีแล้ว การที่บริษัทอีเว้นท์เบอร์ 1 ของไทย ห่างหายจากกิจกรรมเปิดบ้านโชว์ของมา 3 ปี แต่กลับมาอีกครั้งในปีนี้ ก็น่าจะสะท้อนภาพการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมนี้ได้เป็นอย่างดี
Index เอาจริงเรื่องเทคโนโลยี ทุ่ม 100 ล้าน
และตอกย้ำด้วยการลงทุน 100 ล้านบาท สำหรับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านแสง สี เสียง และเลเซอร์ มาใช้ในงานอีเว้นท์ โดยไฮไลท์ที่นำมาโชว์ในงานเปิดบ้าน Turn On 2018 ในครั้งนี้ ได้แก่
–Laser Symphony การแสดงเลเซอร์ แสง สี เสียง สุดอลังการ เต็มครบทุกแบบ โชว์นี้เหมาะสำหรับใช้ในแสดงคอนเสิร์ตแนว EDM, งานปาร์ตี้ และงานบันเทิงอื่นๆ ที่หลากหลาย
-Shapeformation (Kinetic) การแสดงในเรื่องของความเสถียร แม่นยำของระบบปฎิบัติการที่เรียกว่า Synchronize ในการควบคุมอุปกรณ์ kinetic รูปทรงต่างๆ ทั้งแบบ ทรงกลม, บอลลูน, ทรงสามเหลี่ยม ที่เชื่อมโยงกับระบบ แสง สี เสียง เข้าไว้ด้วยกัน
-Dancing Drone การควบคุมโดรนจำนวนมากพร้อมกับกำหนดลีลาการเคลื่อนไหว ให้ความรู้สึกเหมือนโดรนมีชีวิต การแสดงดังกล่าวนี้ สามารถควบคุมโดรนได้ทุกตัวผ่านการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว
-Godin Bot (โกแดง บอท) หุ่นยนต์ขนาดความสูงกว่า 3 เมตร สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เป็นต้น
–Act Catcher เทคโนโลยีการถ่ายภาพหรือคลิปวีดีโอที่ประมวลผลออกมาในรูปแบบ 360 องศา เชื่อมโยงด้วยซอฟแวร์ที่ทางอินเด็กซ์ฯ ได้พัฒนาขึ้นมาเอง สร้างประสบการณ์สนุกสนานด้วยกล้อง DSLR ระดับ Professional คุณภาพสูงรองรับภาพแบบ HD ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับงานหลากหลายประเภท อาทิ การถ่ายภาพยนตร์โฆษณา, มิวสิควีดีโอ, งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ และสื่อโฆษณาต่างๆ เป็นต้น
แค่อีเว้นท์ On Ground ไม่พอ ต้องเพิ่ม Sharable Value ทาง Online
“ทุกครั้งที่เปิดบ้าน ต้องมีอะไรที่ว้าว และทุกครั้งที่เปิดบ้านทุกคนจะรู้ว่าอินเด็กซ์ต้องมีอะไรใหม่ๆ สิ่งที่ว้าว คือ สิ่งที่เราเอา Creative บวก Technology ให้เกิดเรื่องราวใหม่ๆ สิ่งใหม่ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกใช้ในอนาคต หลายๆ สิ่ง เช่น Act Catcher ที่มีให้บริการมา 3-4 ปี แต่เอาไปออกงานที่ไหน ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนชื่นชอบ อยากได้ เสน่ห์มันคือ จากอีเว้นท์ก็นำไปสู่โซเชียลมีเดียได้ภายใน 1 นาที ที่ทำให้คุณก็มีคลิปพร้อมที่จะไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้ จากเดิมที่เป็นแค่การถ่ายรูปธรรมดา คนเล่นก็สนุกสนาน เคยเอาไปโรดโชว์ที่อเมริกา ผู้บริหารดิสนีย์ก็มาเล่นชื่นชอบ ให้บัตรฟรีเราเพื่อเข้าสวนสนุกด้วย
สำหรับตลาดธุรกิจอีเว้นท์ปีนี้ ในมุมมองของคุณเกรียงกานต์ ยังมองเห็นว่ามีทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Retail ที่จะเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ขนาดใหญ่หลายแห่ง อย่างน้อยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีมากกว่า 2 แห่ง ขณะที่ผู้ประกอบการรายเดิม ก็ต้องทำตลาดเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ รวมถึงแบรนด์สินค้าต่างๆ ต้องมีกิจกรรมการตลาดมากมายออกมา ซึ่งปีนี้อินเด็กซ์วางเป้าหมายการเติบโตไว้ 10% จากปีที่ผ่านมาทำรายได้ 1,650 ล้านบาท รายได้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันก็เติบโตไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนงานในมือที่เตรียมรับรู้รายได้อีก 300-400 ล้านบาทรออยู่
“ช่วงครึ่งปีหลังอินเด็กซ์มีงานที่เป็นซุปเปอร์อีเว้นท์ ด้านเอนเตอร์เทนเมนท์ในไตรมาสที่ 4 ที่เป็นงานขนาดใหญ่นับตั้งแต่ที่บริษัทเคยรับมา และในประเทศนี้ยังไม่เคยเคยมีมาก่อน ที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ ปีนี้ถือว่าทำงานได้อย่างสบายใจกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา ถ้าประเทศไม่มีปัญหาด้านการเมือง ไม่มีม๊อบ บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ นักการเมืองที่มาบริหารประเทศไม่ต้องเก่งมากก็ได้ เพราะนักธุรกิจดำเนินธุรกิจของตนเองได้ ตอนนี้ภาพรวมหลายๆ อย่างดีขึ้น รากหญ้าก็ดี ราคาสินค้าเกษตรก็ดีขึ้น ส่วนความท้าทายของธุรกิจยังเป็นเรื่อง Creative สิ่งที่อินเด็กซ์ลงทุนไปในปีนี้ ก็คาดหวังว่าจะได้ลูกค้าเก่าให้กลับมาใช้งบด้านอีเว้นท์กับเรา และปีนี้เป็นการลงทุนมากสุดในรอบ 3-4 ปีโดยเฉพาะ Technology ด้านเสียง”
ธุรกิจที่ใช้งบประมาณกับการจัดอีเว้นท์มากที่สุด คือ ภาครัฐบาล ธุรกิจรถยนต์ และธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ซึ่งความต้องการของลูกค้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ยังคงต้องการอะไรใหม่ๆ แตกต่าง ไม่เคยเห็น หรืออะไรที่เป็นผู้ใช้รายแรกจะมีความสุขมาก และหลายครั้งลูกค้าต้องการอินไซต์ของผู้บริโภค เพื่อการสร้างแบรนด์และสร้างยอดขาย เป็น Sale บวก Brand เพราะสมัยนี้ทำอีเว้นท์ตามห้างก็ยาก การเอาดาราก็มีคนไปมุงดู แต่ก็ไม่ได้ยอดขาย
อย่างไรก็ตาม อินเด็กซ์พยายามที่จะลิงค์อีเว้นท์ให้ไปกับสื่อที่เปลี่ยนไปสู่ออนไลน์ เพราะว่าไม่ใช่อีเว้นท์จะอยู่ได้ลำพังด้วยตัวของอีเว้นท์เอง เนื่องจากอีเว้นท์ถือเป็นคอนเทนต์หนึ่ง ที่คนจะเอาไปพูดต่อได้ การจัดทำอีเว้นท์จึงต้องมีการโปรโมทงานก่อนถึงวันงานจริงด้วยคลิป และภายในงานก็ต้องมีตัวคอมเทนต์ที่จะเป็นกระแสต่อไปได้ จากเมื่อก่อนโฆษณาอย่างเดียว ปัจจุบันยังต้องมี Influencer มาช่วยสร้างกระแสออกไปด้วย ถือเป็นปัจจัยสำคัญของการทำอีเว้นท์ในปัจจุบัน ซึ่งจะต้อง Integrate ให้ได้ กับส่วนงานของ Creative และภายในงานจะต้องมีจุดให้คนถ่ายรูป เพื่อเกิดการแชร์ต่อถือเป็นสูตรสำเร็จของงานอีเว้นท์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการทำงานอีเว้นท์หลักๆ ยังคงเป็นเรื่องของ
“Creative and Technology”