ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ มินิ(MINI) ทำให้รถยนต์แบรนด์นี้ เป็นรถยนต์ในฝันของใครหลายคนตั้งแต่วัยเยาว์ และนับวัน Passion ของความหลงใหลใน MINI ก็ดูเหมือนว่าจะถูกต่อเติมทำให้สมบูรณ์ จับต้องได้ง่ายขึ้นในระยะหลัง และสำหรับคนที่ได้เป็นเจ้าของรถแบรนด์นี้แล้ว ก็ติดใจกับมนต์เสน่ห์ของ MINI ซึ่งทางค่ายรถเองก็ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาทั้งเรื่องสมรรถนะ รูปโฉมทั้งภายนอก ภายใน เพื่อทำให้แฟนๆ ที่หลงใหลรถแบรนด์นี้ ยังคงต้องการมี MINI คันที่ 2 – 3 – 4 ต่อไปเรื่อยๆ และที่มากกว่านั้นก็คือการพลิกโฉมโลโก้ใหม่ หลังจากใช้โลโก้เดิมตั้งแต่ปี 2001
โลโก้ใหม่ เรียบ หรู เข้าถึงง่าย
สำหรับแนวคิดการปรับโลโก้นั้น คุณปรีชา นินาทเกียรติกุล ผู้จัดการทั่วไป มินิ ประเทศไทย เล่าว่า “เรามีวิวัฒนาการมาตลอด นับตั้งแต่ปี 1959 และจะเห็นว่าเราปรับตัวเรื่อยมา การปรับในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้ความเป็น MINI ถูกถ่ายทอดออกมาให้เข้าถึงได้ง่าย โลโก้ใหม่ จึงเป็นโลโก้ 2 มิติ เรียบหรู ดูสบายตามากขึ้น แต่ก็คงความเท่ เก๋ ดูดี เอาไว้”
ในแง่มุมของการดีไซน์โลโก้ใหม่มีความ “Flat” มากขึ้นตามเทรนด์การออกแบบที่เผยมุมมองเรียบง่าย ใช้ CI หลักเป็นเงิน-ขาว ให้ความรู้สึกทันสมัย พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคของการขับเคลื่อนแบรนด์ด้วย “เทคโนโลยี” ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคตที่แวดวงยานยนต์ในปัจจุบันต้องวางแผนก้าวไปให้ถึง
โลโก้ใหม่ที่ว่านี้จะอยู่ที่ตัวรถ 4 ตำแหน่งด้วยกันคือ บริเวณฝากระโปรงหน้ารถ ฝากระโปรงท้ายรถ บนพวงมาลัย และบนกุญแจรีโมท
3 ความเปลี่ยนแปลง กับพัฒนาการด้านยนตกรรม
นอกจากการปรับตัวโลโก้แล้วยังมีการปรับโฉมใหม่อีก 3 ประการ ประกอบด้วย
– ไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวง สว่างชัดยิ่งขึ้น ไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวงในดีไซน์ใหม่ ในรุ่น Cooper S ให้ความสว่างมากขึ้นทั้งในโหมดไฟต่ำและไฟสูงด้วยไฟหน้า LED พร้อมด้วยไฟ LED Daytime Running Light และฟังก์ชันไฟเลี้ยวภายในวงแหวนเดียวกัน โดยไฟจะเปลี่ยนสีจากสีขาวเป็นสีส้มขณะที่ทำการเปิดไฟเลี้ยว เรื่องดีเทลเล็กๆ แต่เก๋แบบนี้แหละ MINI
ส่วนรุ่น John Cooper Work Hatch ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Adaptive LED Headlights ในการช่วยปรับความสว่างของไฟหน้าแบบอัตโนมัติตามสภาพเส้นทาง และปรับองศาไฟขณะเข้าโค้ง นอกจากนี้ ระบบนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Matrix light ที่ยกระดับทัศนวิสัยในการขับขี่ด้วยการเปิด-ปิดระบบไฟส่องสว่างโดยอัตโนมัติเมื่อกล้องในรถยนต์ตรวจจับได้ว่ามีรถยนต์คันอื่นสวนมา เพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทาง
– ไฟท้ายลายธงยูเนียน แจ็ค ตอกย้ำความเป็นแบรนด์สัญชาติอังกฤษ ด้วยการปรับไฟท้ายของรถใหม่ให้มีความโดดเด่นด้วยรูปทรงและเส้นไฟ LED ลาย “ธงยูเนียน แจ็ค” แห่งสหราชอาณาจักร ในรถรุ่น Cooper S และ John Cooper Work Hatch โดยไฟเบรกจะใช้เส้นแนวตั้ง ส่วนไฟเลี้ยวจะเป็นเส้นแนวนอนกึ่งกลาง และไฟท้ายจะเปิดเป็นเส้นแนวทะแยง เมื่อไฟหน้าเปิดอยู่ ทำให้ภาพรวมของท้ายรถรุ่นปรับโฉมใหม่นี้มีความสวยงาม โดดเด่นจากการผสมผสานเส้นไฟเข้ากับรายละเอียดของลายธง
– สะดุดตาที่ภายนอก ด้วยสีตัวถังใหม่ 3 สี สำหรับรุ่นที่มีการปรับโฉมใหม่ทั้ง 3 ประเภทตัวถัง (MINI Hatch 3 ประตู, MINI Hatch 5 ประตู และ MINI Convertible)
มาพร้อมตัวเลือกของสีตัวถังใหม่เพิ่มอีก 3 สี คือสีเทา Emerald Grey Metallic สีน้ำเงิน Starlight Blue Metallic และสีส้ม Solaris Orange Metallic พร้อมเสริมความสปอร์ตดุดันในรุ่นคูเปอร์ เอส ด้วย Piano Black Exterior สีดำเงาที่กรอบโคมไฟหน้า โคมไฟท้าย และกระจังหน้ารถ
นอกจากนี้ ยังมีล้ออัลลอยลายใหม่ทั้งหมด 4 แบบที่ต่างกันไปในแต่ละรุ่น คือ ลาย Victory Spoke Black ขนาด 16 นิ้ว ลาย Roulette Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว ลาย Rail Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว และ ลาย MINI Yours Vanity Spoke 2-tone ขนาด 18 นิ้ว ที่มาพร้อมฝาครอบล้อใหม่ลาย MINI Yours
– การปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ขับสนุกมากขึ้น โดยมินิเครื่องยนต์เบนซินทุกรุ่นจะมีการเพิ่มแรงดันสูงสุดในการฉีดน้ำมันจาก 200 เป็น 350 บาร์ ควบคู่ไปกับใบพัดเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อความร้อนสูง รวมถึงมีการปรับแรงดันหัวฉีดน้ำมันทำให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ขณะที่ฝาครอบเครื่องยนต์นำวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) มาใช้เป็นครั้งแรก จึงทำให้มีน้ำหนักเบาลง เสริมสมรรถนะให้รวดเร็วฉับไวขึ้น
MINI Hatch มาพร้อมกับขุมพลังเทคโนโลยี MINI Twin Power Turbo โดยมีให้เลือกสรรทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ในรุ่น Cooper และ Cooper D และเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2 ลิตรในรุ่น Cooper S ที่ให้พละกำลังได้สูงสุดถึง 192 แรงม้า ควบคู่กับแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร
ส่วนระบบส่งกำลัง ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมด้วยคันเกียร์ใหม่ในระบบไฟฟ้า โดยในรุ่น Cooper และ Cooper S จะมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 7 สปีด คลัตช์คู่ (Double Clutch Transmission) ที่มอบจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและไหลลื่นยิ่งขึ้น เร่งความเร็วได้ทันใจ รวมถึงมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ขับขี่ได้คล่องตัวและพร้อมตอบสนองความท้าทายทุกโจทย์บนท้องถนน ส่วนในรุ่น John Cooper Hatch พี่ใหญ่ในเรื่องความแรง ก็เสริมความสปอร์ตด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่ตอบสนองรวดเร็วในสไตล์รถแข่ง เติมความสนุกในทุกจังหวะการขับขี่
MINI Cooper Hatch 3 ประตู ให้กำลังสูงสุดที่ 136 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.8 วินาที ส่วน MINI Cooper S Hatch 5 ประตู สามารถให้กำลังได้สูงสุด 192 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 6.7 วินาที และสำหรับ MINI Cooper S Convertible ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้าโดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.1 วินาที
MINI ไม่ใช่รถ แต่เป็น “จิตวิญญาณ”
แฟน MINI ตัวจริงจะทราบดีว่า นอกเหนือจากความมีเอกลักษณ์แล้ว สิ่งที่เป็นเสน่ห์ซ่อนเอาไว้ก็คือ Personalize การตกแต่งที่ทำให้เจ้าของรถ MINI แต่ละคนสามารถดีไซน์ และใส่ตัวตนของตัวเองเข้าไปในรถให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น ในครั้งนี้ MINI จึงมีการแต่งภายในที่เพิ่มตัวเลือกของสีเบาะมา 3แบบ ได้แก่ Leather Chester, Leather Malt Brown, Leather Cross Punch Carbon Black และล่าสุดกับ Leather Lounge Satellite Grey ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความไม่เหมือนใคร และเติมความโดดเด่นบนท้องถนนให้กับมินิ คอนเวิร์ตทิเบิล ขณะขับขี่แบบเปิดหลังคา
และจุดที่ครีเอทีฟสมศักดิ์ศรีความเป็น MINI อีกจุดก็คือ ชุดอุปกรณ์เสริม MINI Excitement ที่มาพร้อมกับระบบ MINI Logo Projection ที่สร้างเอกลักษณ์สะดุดตาด้วยการฉายโลโก้ของแบรนด์ลงบนพื้นนอกตัวรถ ฝั่งคนขับเมื่อเปิดประตูรถ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สร้างจุดสนใจและความภูมิใจแบบนี้แหละที่สะท้อน Passion ที่แท้จริงของคนขับ MINI แบบมินิมอล แต่เก๋
เหมือนกับสิ่งที่ คุณปรีชา พูดถึงพลังของแบรนด์เอาไว้ว่า “สำหรับผม MINI ไม่ใช่แค่รถ แต่ MINI คือจิตวิญญาณ และสำหรับกิจกรรมต่างๆ ก็ต้องคำนึงถึงการตอบสนองความต้องการของแฟนๆ เรา อย่างกิจกรรมในวันนี้ก็ใส่คลาสสิคของ MINI และ Passion ที่ต่อเติมความฝันของลูกค้า เพราะ MINI ต้องใช้ใจซื้อ ผมคิดว่า หัวใจ ใกล้กระเป๋าตังค์ มากกว่าสมอง”
การจัดงานเปิดตัวโฉมใหม่ของ MINI ล่าสุดจึงอาศัยบรรยากาศที่จัดผังทางเดินให้เป็นรูปแบบเขาวงกต นำผู้ร่วมงานผ่านช่วงเวลาจากอดีต มาสู่ปัจจุบัน โดยมีความเป็น MINI รายล้อมอยู่รอบตัว
ในช่วงหลังรวมทั้งแนวคิดในการพัฒนารถของ MINI ให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายขึ้น โดยใช้แนวคิด Creative Use of Space เพื่อประโยชน์ใช้สอยที่เพิ่มขึ้น แต่ก็คงความแรงของรถเล็ก คล่องตัว เช่นเดิม นั่นทำให้ยอดขายของ MINI ในประเทศไทยเติบโตขึ้นจาก 913 คัน ในปี 2016 เป็น 1,010 คัน ปี 2017 ซึ่งคิดเป็น 11% ซึ่งถือว่าเติบโตขึ้นมากจากเดิมที่ขายได้ปีละ 200-300 คันเป็นอย่างมาก นั่นทำให้ครอบครัว MINI แข็งแรงและร่วมกันทำกิจกรรมจนกลายเป็น Community ย่อยๆ ไปเลยทีเดียว
สำหรับความท้าทายในอนาคต ก็คือเรื่องของการเดินหน้าพัฒนารถยนต์ให้เข้าสู่ช่วงเวลาของ “การเชื่อมต่อ” ไม่ว่าจะเป็นซอฟท์แวร์ แอปพลิเคชั่น เพื่อทำให้การขับรถ MINI สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไปจนถึงการมีทางเลือกใหม่ๆ ซึ่งเร็วๆ นี้ทางมินิ ประเทศไทย จะมีการเปิดช่องทางการขายแบบใหม่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย แฟนๆสามารถติดตามข้อมูลของรถมินิเพิ่มเติม ได้ที่ www.mini.co.th หรือ https://www.facebook.com/MINI.Thailand/