ความต้องการที่พักอาศัยในย่านใจกลางเมือง ยังคงมีสูงขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ราคาที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองจะปรับสูงขึ้นทุกปีก็ตาม ปัจจัยสำคัญคือเรื่องของทำเลที่ตั้ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใจกลางธุรกิจและใกล้แหล่งงาน การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า บริเวณย่านใจกลางธุรกิจ จึงผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด
แต่ก็มีข้อจำกัดของการหาที่ดินมาพัฒนาได้ยากขึ้น และนับวันก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนที่ดินที่ยังเหลืออยู่ก็มีราคาขยับสูงขึ้นมาก การพัฒนาโครงการออกขายจึงค่อนข้างมีอุปสรรค หรือถ้าจะขายให้คุ้มต้นทุนที่ลงไป ราคาค่าห้องชุดก็แพงขึ้นมาก ต้องจับตลาดกลุ่มไฮเอนด์เท่านั้น
ความเคลื่อนไหวในด้านการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมช่วงที่ผ่านมา เราจึงเห็นการปรับกลยุทธ์ในด้านของทำเลที่ตั้ง มีการขยับทำเลเข้าลึกไปในซอยต่างๆ ที่อยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งปัญหาและอุปสรรคของการพัฒนาก็มีเช่นกัน โดยนอกจากเรื่องราคาที่ดินแล้ว ยังมีข้อกำหนดของกฎหมายเกี่ยวกับข้อกำหนดความสูงของอาคาร ที่ไม่สามารถพัฒนาโครงการขนาดสูงได้ เนื่องจากถนนในซอยมักจะมีขนาดความกว้างที่น้อยกว่าถนนเส้นทางหลักอีก
เทรนด์หนึ่งที่เห็นหลายปีที่ผ่าน คือ การพัฒนาคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก หรือโครงการที่มีอาคารสูงไม่เกิน 8 ชั้น เป็นโครงการประเภทโลว์ไรส์ (Low Rise) ซึ่งจากสถิติตัวเลขย้อนหลังไปประมาณ 10 ปีมีไม่ต่ำกว่า 100,000 ยูนิตที่ถูกพัฒนาออกมาขาย จากบรรดาดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำทั้งรายเล็กและรายใหญ่
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำ ยังคงพัฒนาโครงการโลว์ไรส์ออกมา เป็นเพราะ
1.ที่ดินหาได้ง่ายและมีราคาถูกกว่า ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า แม้ว่าราคาที่ดินจะขยับขึ้นในทุกพื้นที่ แต่ตามตรอกซอกซอย ยังมีโอกาสที่ดีเวลลอปเปอร์สามาถหาที่ดินมาพัฒนาได้ รวมถึงราคาที่ดินยังไม่แพงเท่ากับที่ดินติดถนนใหญ่ หรือตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ที่แม้ว่าปัจจุบันจะหาได้ แต่การพัฒนาสินค้าออกจำหน่ายก็จะต้องมีราคาสูง หรือเป็นระดับไฮเอนด์จึงจะคุ้มค่าต่อการลงทุน
2. ต้นทุนการก่อสร้างโครงการถูกกว่าโครงการขนาดใหญ่ ด้วยรูปแบบของโครงการโลว์ไรส์ ที่มีขนาดเล็กและจำนวนยูนิตไม่มาก จึงทำให้มูลค่าโครงการไม่สูงเทียบเท่าโครงการขนาดใหญ่ แต่ สามารถบริหารจัดการต้นทุนและบริหารระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถพัฒนาโครงการให้มีราคาของห้องชุด ได้คุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบต่อตารางเมตร กับโครงการขนาดใหญ่
3. มีดีมานด์รองรับจำนวนมาก เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้งและความเป็นส่วนตัวในย่านใจกลางเมือง เพราะหลักเกณฑ์แรกสุดที่ลูกค้ามักจะใช้เลือกในการซื้อที่อยู่อาศัย ก็คือ ทำเลที่ตั้งนั่นเอง ซึ่งความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่ อยากที่จะอยู่ในย่านใจกลางเมือง ใจกลางธุรกิจ เพราะใกล้สถานที่ทำงานและความเจริญทางธุรกิจมากมาย ในขณะเดียวกันก็ยังต้องการความสงบ ซึ่งคอนโดโลว์ไรส์สามารถตอบโจทย์เนื่องจากจำนวนยูนิตน้อย คนอยู่อาศัยไม่พลุกพล่าน
4. โครงการมีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยสูง เพราะจำนวนผู้พักอาศัยไม่มากจนเกินไป ทำให้เป็นชุมชนที่เงียบสงบ ไม่มีความวุ่นวาย การดูแลรักษาความปลอดภัยมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้ผู้อยู่อาศัยใช้พื้นที่ส่วนกลางและสาธารณูปโภคของโครงกาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ต้องแชร์กับเพื่อนบ้านจำนวนมาก เหมือนโครงการขนาดใหญ่ และดีเวลลอปเปอร์มักจะพัฒนาโครงการให้มีจุดเด่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับโครงการด้วย
5. ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง ทำให้โครงการที่อยู่ในทำเลใจกลางเมืองไม่ว่าโครงการขนาดใหญ่หรือเล็ก มีความต้องการสูง แต่ปริมาณสินค้าหรือห้องพักที่มีจำกัด จึงส่งผลในด้านราคาที่มักจะขยับเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการ จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่สนใจซื้อเพื่อการลงทุน จากอัตราการปรับเพิ่มขึ้นของราคาขาย หรือแม้แต่การซื้อเพื่อปล่อยเช่า ก็จะพบว่ามีความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ที่มักจะมองหาที่พักอาศัยในย่านใจกลางธุรกิจเป็นหลัก
จากเหตุผลต่างๆ ดังกล่าว ทำให้มีดีเวลลอปเปอร์มองหาโอกาสในการพัฒนาสินค้ารูปแบบดังกล่าวออกมาทำตลาด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนเมือง และหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่ให้ความสำคัญกับตลาดในโครงการรูปแบบโลว์ไรส์ คือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่ได้เพิ่มพอร์ตธุรกิจในกลุ่ม NEW LOW RISE CONDOMINIUM BRAND เป็นโครงการโลว์ไรส์ ระดับลักซ์ชัวรี่ ที่เตรียมจะเปิดตัวและชื่อโครงการซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่อย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
โดยใช้ชื่อคอนเซ็ปต์ว่า “An Urban Sanctuary Condominium at Sukhumvit 43 by SINGHA ESTATE” ภายใต้แนวคิด Urban Hidden Treasure นี้ หากวิเคราะห์เพิ่มเติม ก็สะท้อนมาจากทำเลในย่านซอยสุขุมวิท 43 ถือได้ว่าเป็นย่านทำเลทองของถนนสุขุมวิท ที่ราคาแพงอันดับต้นๆของประเทศ เพราะอยู่ในทำเลที่ใกล้กับสถานที่สำคัญทั้งอดีตและปัจจุบัน อาทิ วังเลอดิส ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีพร้อมพงษ์ ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม และเอ็มควอเทียร์ เป็นต้น ไม่นับรวมกับโครงการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอ็นด์อีกจำนวนมาก ทำให้สังคมแวดล้อมในย่านดังกล่าวถือเป็นสังคมคุณภาพแห่งหนึ่งบนถนนสุขุมวิท
โดยความ Hidden น่าสนใจของโครงการนี้ ประกอบด้วย
– Hidden Gem Location ที่ตั้งโครงการที่มีความสงบเป็นส่วนตัว แม้จะอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง ที่มีความสะดวกสบายล้อมรอบ มีไลฟ์สไตล์หลากหลายเหมาะกับคนเมือง
– Hidden Life in Nature การออกแบบที่เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ มีการคำนึงถึงทิศทางลมและแสงแดด รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ออกแบบให้ใกล้ชิดกับผู้อยู่อาศัย
– Serve Everyone Hidden Needs มีการใส่ใจในทุกความต้องการที่ซ่อนอยู่ของผู้อยู่อาศัย เป็นการตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัวของผู้อยู่อาศัยได้ดีและมากที่สุด
– Hidden Function in One Space – Multi Function Facilities การคำนึงพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของบ้าน ที่ซ่อนฟังก์ชั่นการใช้งานเอาไว้ ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย และยังเพิ่มโอกาสที่ผู้อยู่อาศัยจะได้พบปะซึ่งกันและกันมากขึ้นด้วย
ทั้งหมดนี้ล้วนตอบโจทย์ความต้องการผู้อยู่อาศัยในแบบ Urban Self lover หรือกลุ่มคนเมืองที่รู้ว่า “ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไร” จึงมองหาคอนโดมิเนียมที่เป็น “Absolute Urban Retreat” หรือ ที่อยู่อาศัยที่ใช้พักผ่อนพร้อมกับหลีกหนีจากความวุ่นวายอย่างแท้จริง
นอกจากนี้เหตุผลที่สิงห์ เอสเตท เข้ามาพัฒนาโครงการประเภทโลว์ไรส์ มีเหตุผลไม่แตกต่างจากที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ เทรนด์การพัฒนาโครงการลักซ์ชัวรี่ ได้เบนเข็มมาสู่การพัฒนาโครงการโลว์ไรส์ จากปัจจัยการหาที่ดินในย่านใจกลางเมืองเป็นไปได้ยาก ซึ่งทำเลที่ตั้งมักถูกนำมาพัฒนาโครงการโลว์ไรส์ ก็จะอยู่ในซอยของทำเลใจกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็น สุขุมวิท สีลม สาทร หรือแม้แต่ซอยอารีย์ สิงห์ เอสเตทจึงมองเห็นโอกาสจากเทรนด์ดังกล่าวด้วย และสำหรับฟีดแบ็คจะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามต่อหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
สนใจเยี่ยมชมโครงการ : http://bit.ly/2JQoivh
FYI :
ที่ผ่านมา SINGHA ESTATE เปิดตัวโครงการภายใต้ Brand THE ESSE รวมทั้งสิ้น 3 โครงการ ที่จับกลุ่ม Luxury มูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท. ได้แก่ THE ESSE Asoke , THE ESSE at SINGHA COMPLEX และ THE ESSE Sukhumvit 36. ซึ่งทั้งหมดมียอด Backlog ไปแล้วกว่า 11,000 ล้านบาท หรือ 75%