7-11 ไต้หวันภายใต้การดำเนินการของ President Chain Store Corp. ได้เปิดร้าน X-Store หรือร้าน 7-11 ที่ไม่มีพนักงานเป็นแห่งที่ 2 ในไต้หวัน โดยสาขาแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เขตซิ้นยี้ ไทเป หลักการทำงานของร้านค้า X-Store ก็คือจะตรวจจับลูกค้าจากบัตรที่มีการเก็บข้อมูลใบหน้า หรือ บัตร iCash 2.0 และยังมีตู้ ATM อัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีแสกนลายนิ้วมือและตรวจจับใบหน้า ที่สามารถทำให้ลูกค้าสามารถฝากเงินจำนวนไม่มากและสามารถถอนเงินสกุลต่างชาติได้ โดยสาขานี้นับเป็น เซเว่นอีเลฟเว่นสาขาที่ 3 ของโลกที่ไม่มีพนักงาน ส่วนสาขาแรกตั้งอยู่ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เปิดตั้งแต่พฤษภาคม ปีที่แล้ว
ร้าน 7-11 X-Store สาขาแรกของไต้หวัน เปิดในพื้นที่ของชั้นหนึ่งของตึก HQ ของบริษัทเองในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายฝูงชนมนุษย์ออฟฟิศและนักเรียนจำนวนมหาศาลในบริเวณนั้น แต่เป็นการทดสอบเปิดให้ใช้บริการเฉพาะพนักงานบริษัทเท่านั้น และแทนที่จะเปิด 24 ชั่วโมง ตามความคุ้นเคยของผู้บริโภคทั่วไป หรือเปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึง 5 ทุ่ม ตามของชื่อแบรนด์ แต่สาขาดังกล่าวกลับเปิดทำการตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงเวลา 1 ทุ่ม เท่านั้น
หัวหน้าการบริหารโปรเจค Hsu Yi-hsiung เล่าถึงสถานการณ์ของร้าน X-Store สาขาแรกในไต้หวันซึ่งเขาดูแลอยู่ว่า มีลูกค้าเพิ่มขึ้น ถึง 50% ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา และการเติบโตนั้น ครอบคลุมทั้งช่องทาง online และ offline โดยร้านค้าอัตโนมัติอย่าง X-Store เพิ่มความคาดหวังของลูกค้า ในขณะเดียวกันทางด้านการบริหารจัดการหน้าร้านก็ต้องปรับปรุงเรื่อง supply chain และการบริหารสินค้าคงเหลือแบบ real-time ซึ่งแทบจะกลายเป็นการบริหารแบบอัตโนมัติเกือบทั้งหมด
นอกเหนือจากการบริหารจัดการภายในของร้านแล้ว เทคโนโลยีที่ผู้บริโภคจะได้สัมผัสแบบเต็มๆ ก็เป็นพวก facial biometric identification ทั้งหลาย เทคโนโลยีการจับใบหน้าที่ลำหน้านี้ ทำให้ลูกค้าไม่ต้องพกเงินสดอีดเลย เริ่มจาก “Face in” เพื่อทำการเช็คอินเข้าร้าน ต่อมา “Face pay” เพื่อทำการชำระเงิน และสุดท้าย “Face go” สำหรับการ check out ออกจากร้าน
เทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ กำลังถูกนำมาใช้ในธุรกิจรีเทลมากขึ้นทุกทีๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ร้าน Amazon Go ซึ่งเป็น Grocery Store โดยเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ ก็เช่น ระบบสมาชิก One point, การระบุตัวตนโดยใบหน้า, การระบุการผลิต, การแสดงสินค้าแบบอัตโนมัติผ่าน “Open Show Case”, การวิเคราะห์พื้นที่ Hot Spot, เตาไมโครเวฟพร้อมเครื่องแสกน, ระบบ POS แบบบริการตัวเอง, ฉลากอิเล็กทรอนิค, e-POP, พนักงานต้อนรับหุ่นยนต์, และหุ่นยนต์ทำความสะอาด
ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Family Mart ได้ทำการเปิดตัวร้านค้าคอนเซ็ปที่ใช้ AI ในการทำกาแฟและการบริการอื่น รายงานโดย CNA
และ Family Mart คาดการณ์กระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบผ่านเทคโนโลยีใหม่ซึ่งดำเนินการอัตโนมัติ โดยเชื่อมต่อกับเครือข่าย IoT, big data, AI และ Radio-frequency identification (RFID) และเมื่อนำระบบเหล่านี้มาใช้ก็ ลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานไปได้ถึง 858 ชั่วโมงต่อปี
Family Mart เปิดเผยว่าการใช้ IoT และป้ายราคาอิเล็กทรอนิคสามารถลดเวลาการทำงานลงถึง 1.5 ชั่วโมง ต่อการเปลี่ยนป้ายราคาสินค้า 3,500 ชิ้น ซึ่งสำหรับร้านสะดวกซื้อแล้วสินค้าและราคาพวกนี้ต้องเปลี่ยนบ่อย เฉลี่ย 2 อาทิตย์ต่อครั้ง