หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2018 ปรากฏว่านักลงทุนต่างก็ผิดหวังกับ Facebook(เฟซบุ๊ก) เมื่อ David Wehner ซีเอฟโอ ของเฟซบุ๊กแจ้งกับผู้ถือหุ้นว่า เฟซบุ๊กมีอัตราการเติบโตของรายได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แถมแนวโน้มนี้ดูท่ารายได้ในปี 2018 อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าซะด้วย
นั่นส่งผลให้ เมื่อตลาดหุ้นนิวยอร์คใกล้ปิดตัวลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมาเพียงแค่ 5 นาที หุ้นของเฟซบุ๊กก็ร่วงลงไปถึง 15.1 พันล้านเหรียญ และถ้านับจุดที่ต่ำที่สุดก็นับว่าร่วงลงไปถึง 15.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 19% จากราคาหุ้นละ $217.50 หดตัวลงเป็น $176.26 เหรียญสรัฐ เป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กนำบริษัทเฟซบุ๊กเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เลยทีเดียว
ต้นปีที่ผ่านมา เฟซบุ๊กเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยเชิงข้อมูลจากกรณี Cambridge Analytica data จนมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ต้องเดินทางไปชี้แจงกับวุฒิสมาชิกที่วอชิงตันในเดือนเมษายน และต่อด้วยการไปตอบคำถามต่างๆ ต่อรัฐสภาของอังกฤษในเดือนพฤษภาคม ยังไม่นับความท้าทายในเชิงธุรกิจเองที่อัตราการเติบโตในกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้รายได้ของเฟซบุ๊กไม่เติบโตตามที่หวังเอาไว้ ในไตรมาส 2 เฟซบุ๊กมีกำไร 31% รายได้เติบโต 42% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้อัตราการเติบโตของผู้ใช้งานก็เพิ่มขึ้น 11% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่คาด เช่นเดียวกัน
จากการที่หุ้นเฟซบุ๊กร่วงแรงขนาดนี้ ทำให้ความร่ำรวยของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ลดลง จนมหาเศรษฐีหนุ่มวัย 34 ปีคนนี้ ตกอันดับผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากอันดับ 4 ลงมาอยู่ที่อันดับ 6 ภายในคืนเดียว โดย Forbes ประเมินมูลค่าสินทรัพย์แบบเรียล-ไทม์ว่า เขาน่าจะมีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 67.1 ล้านดอลลาร์