เป็นการนำเสนอ Concept Food Store รูปแบบใหม่ในรอบ 40 ปี ของเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป หรือ CRG เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจอาหารได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับแบรนด์ที่เพิ่งทำตลาดได้ไม่นานทั้งในแง่ Branding และ Brand Awareness ที่อาจจะยังไม่แข็งแรงได้เท่ากับแบรนด์อื่นๆ ที่ทำตลาดมานานกว่า
Food Heaven (ฟู้ดเฮฟเว่น) โมเดลล่าสุดของ CRG ถือเป็นครั้งแรกในการรวมหลายๆ แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอมาไว้ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง สิงคโปร์ หรือเกาหลีใต้ แต่ถือเป็นครั้งแรกในธุรกิจ Food Chain Industry ของไทย ที่มีการนำเสนอผ่านคอนเซ็ปต์แบบ Multi-Brand เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งต้องถือว่ามีความสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยที่นิยมรับประทานอาหารร่วมกันเป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะมากับเพื่อน หรือครอบครัว ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีความชอบที่แตกต่าง ทำให้ Food Heaven เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
Branding – Brand Awareness เพิ่ม แต่ต้นทุนลด
หลังใช้เวลาในการดีลพื้นที่และก่อสร้างมาเกือบ 1 ปี Food Heaven สาขาแรก ก็ได้ฤกษ์เปิดให้บริการแล้วที่เทสโก้ โลตัส พลัสมอลล์ บางใหญ่ โดยมีแบรนด์ในเครือ CRG จำนวน 3 แบรนด์ นำร่องให้บริการ ได้แก่ เปปเปอร์ลันช์ โยชิโนยะ และคัตสึยะ โดยเปิดให้บริการรวมกันในพื้นที่กว่า 370 ตารางเมตร จำนวนที่นั่งทั้งหมด 170 ที่นั่ง
สำหรับเหตุผลในการเลือกโลเกชั่นและการเลือกแบรนด์สำหรับ Food Heaven สาขาแรกนี้ คุณณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ CRG ให้เหตุผลว่า พื้นที่ย่านบางใหญ่มีความเป็น Residential Area จำนวนโครงการหมู่บ้านในรัศมีโดยรอบค่อนข้างหนาแน่นและมีกำลังซื้อที่ดี และยังอยู่ใกล้กับเซ็นทรัลเวสต์เกต ซึ่งจะมีกลุ่มเป้าหมายหลักไม่ต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่อาศัยอยู่ในย่านดังกล่าว ประกอบกับจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการในเทสโก้ โลตัส บางใหญ่เอง ก็มีไม่ต่ำกว่า 8,000-10,000 คนต่อวัน
ส่วนแบรนด์นำร่องสำหรับโมเดล Food Heaven ทั้ง 3 แบรนด์ นอกจากด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายแล้ว แต่ละแบรนด์ยังมีเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นสเต็กกะทะร้อนอย่างเปปเปอร์ลันช์ หรือเมนูข้าวสไตล์ญี่ปุ่นทั้งโยชิโนยะ และคัตสึยะซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ในพอร์ตของ CRG แม้จะทำตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ความแข็งแรงของแบรนด์และจำนวนสาขาที่มีในปัจจุบันอาจจะยังจำกัดอยู่ในพื้นที่ในเครือของเซ็นทรัลกรุ๊ปเป็นส่วนใหญ่ การมีคอนเซ็ปต์ Food Heaven จึงเป็นหนึ่งในโซลูชั่นส์ที่จะทำให้แบรนด์ใหม่ๆ ในพอร์ตของ CRG มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการสร้างแบรนด์และการรับรู้ในวงกว้าง รวมท้ังเข้าถึงลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่โดยรอบกรุงเทพฯ และศูนย์การค้าที่ไม่ได้อยู่ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป
“เป้าหมายสำคัญของ Food Heaven คือ ทำให้ Brand Awareness ของแบรนด์ใหม่ๆ ที่อยู่ในพอร์ตเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น ขณะที่แบรนด์เดิมๆ อย่างเคเอฟซี มิสเตอร์โดนัท หรืออานท์ตี้แอนส์ แบรนด์จะค่อนข้างแข็งแรงในวงกว้างและขยายสาขาได้ในพื้นที่ที่หลากหลายอยู่แล้ว ประกอบกับการอยู่ในกลุ่มธุรกิจ QSR อาจจะเหมาะกับการขยายแบบแบรนด์เดียวมากกว่า ขณะที่แบรนด์ในกลุ่ม Casual Dining เมื่อมาอยู่รวมกันหลายๆ แบรนด์ ทำให้มี Impact และช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้ดีกว่า เพราะมีช้อยส์ให้ลูกค้าเลือกได้มากขึ้น โดยสาขาแรกนี้จะเป็นโมเดลต้นแบบเพื่อทดลองให้บริการและจะเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เพิ่มเติมในส่วนกลางในอนาคต อาทิ ของหวาน กาแฟ โดยคาดว่าจะขยายเพิ่มอีกอย่างน้อย 2-3 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องพื้นที่ โดยโลเกชั่นที่สนใจ อาทิ เมกาบางนา และซีคอนสแควร์ เป็นต้น”
ขณะที่จำนวนแบรนด์ใน Food Heaven มองไว้เบื้องต้นแต่ละแห่งจะมีไม่ต่ำกว่า 3 แบรนด์ แต่หากบางแห่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่มากขึ้นก็อาจจะเพิ่มแบรนด์ที่ 4 หรือ 5 ตามความเหมาะสม ซึ่งนอกจากจะสร้างฐานลูกค้าจากแต่ละแบรนด์ได้แล้ว อีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจที่ CRG มองเห็นจากโมเดลใหม่คือ สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการลงทุนเพียงครั้งเดียวแต่สามารถขยายสาขาได้อย่างน้อย 3 แห่ง จาก 3 แบรนด์ ในรูปแบบ Access Sharing เพราะมีเพียงแบรนด์อาหารที่แยกส่วนกัน ขณะที่จำนวนที่นั่ง เค้าน์เตอร์เครื่องดื่ม การก่อสร้างและตกแต่ง จะใช้ร่วมกันจากส่วนกลาง รวมทั้งจำนวนพนักงานที่จะประจำในแต่ละแบรนด์ก็จะน้อยกว่าร้านมาตรฐาน ทำให้ประหยัดต้นทุนในการลงทุนภาพรวมลงได้ไม่ต่ำกว่า 30-40% โดย Food Heaven ในสาขาแรกนี้ใช้งบลงทุนอยู่ที่ 12-13 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างยอดขายไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อเดือน
เดินหน้าขยายสาขา-เพิ่มแบรนด์ใหม่-เพิ่มเทคโนโลยี
ปัจจุบัน CRG มีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอรวม 12 แบรนด์ จำนวนสาขารวมทุกแบรนด์เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 914 สาขา โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีจำนวนสาขาใหม่เพิ่มขึ้น 20 แห่ง และจะขยายเพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังที่เหลืออีก 60-70 แห่ง ทำให้ในสิ้นปีนี้จะมีสาขาให้บริการครบ 1 พันสาขา
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนในการหาแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเติมในพอร์ตโฟลิโอให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการพัฒนาแบรนด์ขึ้นมาเอง การซื้อแฟรนไชส์แบรนด์จากต่างประเทศ หรือการ M&A โดยคาดว่าภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะได้เห็นแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
นอกจากโปรดักท์ใหม่ๆ แบรนด์ใหม่ๆ แล้ว CRG ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในบริการต่างๆ ภายในสาขา เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาบริการ Delivery โดยเริ่มจากการร่วมมือกับกลุ่มผู้ให้บริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Line Man, Food Panda, Now, Honestbee หรือ Grab Food เพื่อให้บริการสั่งอาหารจากแบรนด์ในเครือได้หลากหลายแบรนด์จากการสั่งเพียงครั้งเดียว โดยจะเริ่มให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 3 ในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่ม CBD ย่านธุรกิจ รวมทั้งจะพัฒนาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ของตัวเองเพื่อให้บริการเพิ่มเติมภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
“ในส่วนของการเติบโตช่วงครึ่งแรกของปี CRG สามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้น 7-8% ขณะที่ภาพรวมธุรกิจโตได้ราว 5-6% ทั้งจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในแต่ละแบรนด์ และการทำตลาดที่หนักมากขึ้น ภายใต้งบการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 10% ขณะที่การเติบโตสำคัญจะมาจากครึ่งปีหลังทั้งจำนวนสาขาใหม่ที่จะเพิ่มมากว่าการขยายในช่วงครึ่งแรกของปีไม่ต่ำกว่า 3 เท่าตัว รวมทั้งคอนเซ็ปต์ธุรกิจใหม่ที่จะมีสาขาเพิ่มอีก 2-3 แห่ง และการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง การออกสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม รวมทั้งคาดว่าจะมีแบรนด์ใหม่เข้ามาเสริมในพอร์ตมากขึ้น โดยคาดว่าการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 12-13% และผลักดันให้การเติบโตทั้งปีของ CRG เพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 10% หรือมียอดขายรวมมากกว่า 12,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามียอดขายรวมที่ 11,000 ล้านบาท”
สำหรับแบรนด์หลักที่ทำยอดขายให้ CRG ปัจจุบันยังเป็น KFC ด้วยสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 50% และยังคงรักษาการเติบโตและสามารถขยายสาขาเพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่แบรนด์อื่นๆ ก็ยังมีการเติบโตได้ดี ไม่ว่าจะเป็นมิสเตอร์ โดนัท, อานท์ตี้แอนส์ ที่มีสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้ผู้บริโภค ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเกือบทุกรายการ เช่นเดียวกับโอโตยะ ที่หลังจาก CRG เข้าไปซื้อกิจการมาพร้อมมีการปรับเมนูให้ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ และความนิยมบริโภคของลูกค้ามากขึ้นก็เห็นการเติบโตได้ทั้งในเชิงยอดขายและกำไรที่ดีมากขึ้น
ขณะที่เปปเปอร์ลันช์ อีกหนึ่งแบรนด์ที่เติบโตได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้กัน และเป็นหนึ่งแบรนด์แม็กเน็ตในคอนเซ็ปต์ Food Heaven ก็มีฟอร์แมตในการขยายสาขาที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบร้านมาตรฐาน และรูปแบบ Express ที่เป็นลักษณะของ Seat Sharing เพื่อสามารถขยายสาขาได้ในศูนย์อาหารต่างๆ รวมทั้งในคอนเซ็ปต์ใหม่ของ CRG ซึ่งจะมีการปรับราคาให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ในขนาดที่เหมาะสม ขณะที่คุณภาพวัตถุดิบอยู่ในเกรดคุณภาพเหมือนเดิม ทำให้ราคาใน Express จะถูกกว่าเดิมเฉลี่ย 20% ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ดียิ่งขึ้น และทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้กว้างมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยปัจจุบันทั้ง 5 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเคเอฟซี, มิสเตอร์ โดนัท, อานท์ตี้แอนส์, โอโตยะ และเปปเปอร์ลันช์ เป็น Top 5 Brands ที่ทำรายได้หลักให้กับ CRG ด้วยสัดส่วนรวมกันไม่ต่ำกว่า 75-80%
ทุ่มงบ 100 ล้าน ฉลอง 40 ปี
ปีนี้ยังเป็นโอกาสที่ CRG ดำเนินธุรกิจในไทยครบ 40 ปี หลังจากเริ่มดำเนินธุรกิจในไทยมาตั้งแต่ปี 2521 ด้วยการบุกเบิกตลาดโดนัทในประเทศไทย ด้วยการก่อตั้งแบรนด์มิสเตอร์ โดนัท สาขาแรกที่สยามสแควร์ จนปัจจุบันมีสาขามากถึง 338 สาขา เป็นแบรนด์โดนัทที่มีสาขามากที่สุดในกลุ่มธุรกิจ QSR หรือร้านอาหารบริการด่วน ในปัจจุบัน พร้อมด้วยอาหารในพอร์ตที่หลากหลายทั้งในกลุ่ม QSR และ Casual Dining
โดยในโอกาสครบรอบ 40 ปี CRG ได้ทุ่มงบในการสื่อสาร Big Campaign มากถึง 100 ล้านบาท เพื่อฉลองวาระพิเศษ “40 ปี ซีอาร์จี ความอร่อยไม่สิ้นสุด” โดยร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ เดอะวัน การ์ด และ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เพื่อผนึกฐานลูกค้าสมาชิกรวมกว่า 17 ล้านราย สร้างประสบการณ์สุดพิเศษ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ กิน-ดื่ม-ชม-ช้อปฯ ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ผ่านสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ ส่วนลดเพื่อซื้อบัตรชมภาพยนตร์ 2 ที่นั่ง มูลค่า 100 บาท เมื่อใช้จ่ายที่ร้านอาหารในเครือ CRG หรือรับบัตรชมภาพยนต์ฟรี 1 ที่นั่ง เมื่อเติมเงินในบัตร CRG Gift Card ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป ขณะที่ลูกค้าเดอะวัน การ์ด จะได้รับส่วนลด 50 บาท แทนเงินสดเพื่อซื่ออาหารในเครือซีอาร์จี เมื่อดาวน์โหลด The1 Application โฉมใหม่ เป็นต้น
“ก้าวต่อไปของ CRG ในปีนี้ เราพร้อมที่จะนำแบรนด์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า เร่งกระจายสาขาให้ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวมทั้งขยายธุรกิจในต่างประเทศ และรักษามาตรฐานสินค้าให้อยู่ในระดับสูง พัฒนาระบบครัวกลางเพื่อควบคุมทั้งรสชาติและคุณภาพอาหาร รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถและความผูกพันของพนักงาน และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และเพิ่มความสามารถในการสร้างยอดขาย และให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจในการเข้ามาใช้บริการจากแบรนด์ต่างๆ ของ CRG เพื่อเพิ่มทั้ง Brand Engagement และ Brand Loyalty ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว”