ยังคงติดใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ “อุษณา มหากิจศิริ” ลูกสาวคนเล็กของ “ประยุทธ มหากิจศิริ” เจ้าพ่อธุรกิจวงการกาแฟ ที่เป็นผู้ร่วมทุนโรงงานผลิตสินค้าแบรนด์ “เนสกาแฟ” ประกาศเดินหน้าขยายโครงการอสังหาฯ อย่างต่อเนื่องในปีนี้ หลังจากที่ได้กระโดดเข้ามาในวงการอสังหาฯ ด้วยการ ตั้งบริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทฯ ในเครือของกลุ่มบริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป จำกัด ตั้งแต่ปี 2552 โดยมีทุนจดทะเบียน 127 ล้านบาท มีธุรกิจหลัก ประกอบด้วย พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ประเภท คอนโดมิเนียม และโรงแรม
โดยโครงการอสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม ภายใต้บริษัท เดอะเนสท์ฯ โครงการแรกที่เริ่มพัฒนา คือ “เดอะเนสท์ เพลินจิต” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ที่เปิดขายในปี 2556 จำนวน 64 ยูนิต ถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดี สามารถปิดการขายได้ตามเป้าหมาย ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับ Middle Management ที่ทำงาน ย่านชิดลม เพลินจิต อาจจะมีบ้านอยู่แล้วและต้องการคอนโดเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง มีความสะดวกใน การเดินทางหรือเพื่อ การลงทุนในอนาคตสำหรับการซื้อไว้ปล่อยเช่า
ส่วนโครงการที่ 2 คือ โครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 22” ซึ่งป็นโครงการโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 316 ยูนิต ออกแบบโดย PAA มีมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เปิดขายช่วงปลายปี 2558 สร้างเสร็จเมื่อปลายปี 2560 โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับ Middle Management หรือพนักงานบริษัท ที่มีรายได้ 40,000 บาทขึ้นไป อาจจะทำงานในย่านสุขุมวิท หรือกำลังมองหา ที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง มีไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตในเมือง เน้นการเดินทางที่คล่องตัวเป็นหลัก หรืออาจจะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มองหาคอนโดไว้เพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านที่ต่างชาติ ให้ความสนใจ เช่าสูงเพราะอยู่ระหว่างรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอโศกและพร้อมพงษ์ ปัจจุบัน เหลืออีก 10% เท่านั้น คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในปี 2561
ต่อมาเป็นการพัฒนาโครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64” เป็นโครงการ โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น มี 3 อาคาร จำนวน 439 ยูนิต ออกแบบโดย Tandem ตกแต่งภายใน โดย Paradigm Shift และออกแบบ Landscape โดย Red Landscape ภายใต้แนวคิด “Finest Nature Reflection” ตั้งอยู่บนเนื้อที่เกือบ 4 ไร่ สามารถเข้าออกได้ทั้งจากซอยสุขุวิท 64 ซึ่งปากซอยเป็น BTS ปุณณวิถี และซอยสุขุมวิท 66/1 ที่ปากซอยเป็น BTS อุดมสุข เปิดให้จองเมื่อปลายปี 2560 คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2562 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท
ปัจจุบัน “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64” มียอดจองแล้วกว่า 80% คาดว่าปิดการขายได้ก่อนสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุน หรือกลุ่ม first jobber พนักงานบริษัทที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป อาจจะทำงานย่านสุขุมวิท หรือออกไปทางบางนา และกำลัง มองหาที่อยู่อาศัย เป็นของตัวเองที่สามารถเดินทางสะดวกใช้ชีวิตได้ในเมืองเนื่องจาก อยู่ใกล้ รถไฟฟ้าเพียง 600 เมตร รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่กำลังมองหาคอนโดให้เพื่อปล่อยเช่า
จากผลตอบรับของการพัฒนาโครงการที่ผ่านมา ทำให้ในปี 2561 คุณอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้วางแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ คือ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71” บริเวณสถานีบีทีเอสพระโขนง ในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งเป็นโครงการโลว์ไรส์ 8 ชั้นเช่นเดิม จำนวน 5 อาคาร มี 515 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้ ให้มียอดขายรวมของทุกโครงการที่ 2,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผน ที่จะรุกธุรกิจโรงแรมบูติค 2 แห่ง รวมกันประมาณ 450 ห้อง ด้วยเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท เล็งทำเลย่านเพลินจิต และย่านนานาไว้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างราวปี 2563 – 2566 ด้วย
“สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการสร้างแบรนด์ เดอะเนสท์ ให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการและ life style ของคนเมือง อย่างแท้จริง ทั้งทำเลที่ตั้งโครงการ ดีไซน์ที่เรียบหรูทันสมัย เฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งที่มีคุณภาพ แบบแปลนที่ลงตัวเหมาะสมกับการอยู่อาศัย ครบทั้งคุณภาพ ความสะดวกสบาย และภาพลักษณ์ที่มี ความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละโครงการ ในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ คุ้มค่าหากเปรียบเทียบกับ โครงการที่อยู่อาศัยในเกรดเดียวกันหรือในละแวกเดียวกัน” คุณอุษณา เล่าถึงทิศทางธุรกิจในปีนี้
คุณอุษณา ยังได้ประเมินสถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2561 ว่า มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาครัฐมีการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคต่อเนื่อง ผู้บริโภค มีความเชื่อมั่น และ เริ่มกลับมาสนใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ ปัจจุบันชาวต่างชาติสนใจเข้ามา ซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลกรุงเทพชั้นในและเขตรอบกรุงเทพชั้นในที่ใกล้แนวรถไฟฟ้าเป็นทำเลที่มาแรง มีอุปทานใหม่เกิดขึ้นมาก เชื่อว่าการแข่งขันก็เข้มข้น ด้วยจำนวนโครงการใหม่ ที่จะทยอยเปิดตัว ด้านซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับ กลางบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีเงื่อนไข ของราคาเปรียบเทียบกับคุณภาพและ ความสะดวกในการเดินทางซึ่งเป็น 3 ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ซื้อหรือลงทุน สำหรับลูกค้าของเดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองในสัดส่วนที่มากกว่า 50% จากยอดขายปัจจุบัน และ อีก 50% ซื้อเพื่อปล่อยเช่าเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทย 70% และต่างชาติ คิดเป็นสัดส่วน 30% ซึ่งลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็น ชาวจีน และฮ่องกง