ภาพจำของคนดูหนัง-ซีรีย์อินเดียเมื่อกว่า 30 ปีก่อน คงเห็นเอกลักษณ์ชัดเจน จากคู่พระเอก-นางเอก ร้องเพลงจีบกัน แอบอยู่หลังต้นไม้ และวิ่งไล่ตามกันหยอกล้อกัน ชนิดข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า คนดูก็ดูกันไปแบบยาวๆ หนังเรื่องหนึ่งเฉลี่ยยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง
แต่เดี๋ยวนี้หนังอินเดีย “Bollywood” ภาพเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แทบไม่เห็นเค้าโครงเรื่องแบบเดิมๆ อย่างที่ว่า หนัง-ซีรีย์อินเดียปัจจุบันมีเนื้อเรื่องสนุกสนาน น่าติดตาม และมีความหลากหลายมากกว่านั้น แถมทุ่มงบด้านโปรดักส์ชั่นแบบจัดเต็ม เสื้อผ้า หน้าผม เทคนิคการถ่ายทำ คุณภาพชิ้นงานไม่หนีห่างจากหนัง Hollywood ของฝั่งอเมริกาสักเท่าไร ส่งผลให้คนไทยเฝ้าติดตามหน้าจอ เพื่อรอดูหนัง-ซีรีย์อินเดียเป็นจำนวนมาก จนมีเรตติ้งพุ่งทะยานแซงหน้าละครไทยไปหลายเรื่องเลยทีเดียว
ช่วงพีค “ซีรีย์อินเดีย”
ย้อนหลังไปกว่า 30 ปีที่แล้ว คอนเทนท์จากต่างประเทศที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่ผู้ชมคนไทย ก็มาจากอินเดียนี่แหละ ต่อมาก็เป็นยุคคอนเทนต์จากประเทศจีน ตามมาด้วยจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ตั้งแต่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คอนเทนต์อินเดียก็กลับมาทวงบัลลังก์เรตติ้งแซงหน้าคอนเทนต์จากหลายชาติ รวมถึงละครไทยหลายๆ เรื่องด้วย ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคอนเทนท์จากประเทศอินเดีย เพราะได้รับกระแสความนิยมอย่างสูงจนไม่อาจปฎิเสธความนิยมได้
คุณภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มีเดีย อินไซต์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเป็นช่วงพีคของซีรีย์อินเดีย เพราะสามารถทำเรตติ้งได้สูงกว่าละครไทย ละครไทยดีที่สุดของช่อง 3 ช่อง 7 ทำเรตติ้งเฉลี่ยได้ 7-8 ยกเว้นละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ถือเป็นกรณีพิเศษ หรือตอนนี้อย่างละครเรื่อง เมีย 2018 ของช่อง ONE 31 ทำได้ 5-7 จากปกติเรตติ้งละครช่องนี้จะทำได้แค่ 2 เท่านั้น ส่วนซีรีย์เกาหลีปัจจุบันมีคนดูเฉพาะกลุ่ม และคนส่วนใหญ่หรือกลุ่มติ่งเกาหลี จะไปดูคอนเทนต์ในออนไลน์แทน ทำให้ไม่มีเรตติ้ง หรือดูบนช่องทีวีบางช่องเรตติ้งเกาหลีก็ทำได้ 1-2 ก็ถือว่าเยอะแล้ว
“ซีรีย์อินเดีย กลับมาใหม่หลังจากหายไปจากจอทีวีนานมากแล้ว และถือเป็นไอเดียที่ดีในการนำคอนเทนท์มาทำตลาด เพราะจับกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไป และกลุ่มเอจจิ้ง เป็นกลุ่มผู้ชมหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ดูทีวีบน Broadcast โดยเริ่มจากช่อง 8 และไบรท์ทีวี นำเอาซีรีย์อินเดียมาฉายก่อน และได้รับผลตอบรับที่ดีมีเรตติ้งประมาณ 2-4 ซึ่งช่อง 8 หลังจากประสบความสำเร็จในด้านเรตติ้งของซีรีย์อินเดีย ก็ได้ปรับอัตราค่าโฆษณาจากที่ขายหลักหมื่นบาท ก็ขึ้นมาเป็นหลักหลายแสนบาท และถือเป็นรายการหลักของช่อง 8 แล้ว หากจะถามว่าซีรีย์อินเดียจะได้รับความนิยมยาวนานแค่ไหน เป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะเป็นเทรนด์ของผู้ชม แต่เชื่อว่าจะอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง เพราะกลุ่มผู้ชมไม่ใช่วัยรุ่นที่เบื่อง่าย แต่ที่อยู่เบื้องหลังคอนเทนท์ต่างประเทศทั้งหมด คือ ละครไทยที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง และเนื้อเรื่องมาทำซ้ำใหม่จำนวนมาก อย่างละครเรื่องดาวพระศุกร์ทำมา 8 เวอร์ชั่นแล้ว”คุณภวัต เล่าถึงการกลับมาของซีรีย์อินเดีย
Hollywood บุกอินเดีย เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมหนังอินเดีย
Turning Point สำคัญของคอนเทนท์อินเดีย คงเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1991-2005 ที่ค่ายหนังจาก Hollywood ได้เริ่มเข้าไปบุกตลาดอินเดีย เข้าไปลงทุนธุรกิจความบันเทิงในตลาดของประเทศอินเดีย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมหนังอินเดียก็ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก กลายเป็น Modern India ที่มีความทันสมัย ทั้งแนวคิดและการผลิต จนขึ้นไปเทียบชั้นใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมหนังของ Hollywood เลยทีเดียว มีการนำดารา-นักแสดงของ Hollywood เข้ามาร่วมแสดงกับดารา-นักแสดงชาวอินเดีย ขณะเดียวกันดารา-นักแสดงก็ได้มีโอกาส Go Inter ไปร่วมแสดงหนังกับค่ายหนังชั้นนำของ Hollywood ด้วยเช่นกัน
คุณฮาริส โกยาล ประธานบริหารภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค แอฟริกาใต้และมอริเชียส บริษัท ซี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ผลิตคอนเทนต์ ภาพยนตร์ Bollywood ที่ใหญ่สุดในอินเดีย และผู้ดำเนินธุรกิจช่อง Zee หนัง ในประเทศไทย ฉายภาพว่า อุตสาหกรรมหนังอินเดียในยุคก่อนปี ค.ศ. 1991 ยังมีรูปแบบเดิม เนื้อหายังมุ่งเน้นความรักของหนุ่มสาว ดนตรี การเต้นรำ การร้องเพลงวิ่งไล่กัน หนังแต่ละเรื่องมีความยาวมากกว่า 3 ชั่วโมง แต่หลังจากที่ผู้ประกอบการหนังของ Hollywood ได้เข้ามาลงทุนในตลาดอินเดีย ได้มีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงตลาดหนังอินเดียอย่างมาก มีการพัฒนาให้เนื้อหาหนังให้มีความสนุกสนาน เข้าถึงง่าย ลดความยืดยาวและนำเสนอเรื่องดนตรีลง ปรับให้เนื้อเรื่องเป็นสากล พัฒนา Production ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานของ Hollywood เรียกได้ว่าหนังอินเดียถูกพัฒนาจากไม่ใช่สินค้าที่บริโภคกันเฉพาะตลาด Local เท่านั้น แต่สามารถผลิตและส่งออกไปทำตลาด International ที่คนทั่วโลกสามารถเสพความบันเทิงเหล่านั้นได้ สร้างรายได้กลับเข้าให้ประเทศอย่างมหาศาล เพราะแต่ละปีมีหนังผลิตออกมาไม่ต่ำกว่า 1,600 เรื่อง
5 เหตุผลคนไทยหลงใหลซีรีย์ “อินเดีย”
สำหรับ “ซี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์” แต่ละปีผลิตหนังออกมาทำตลาดไม่ต่ำกว่า 100 เรื่อง และในจำนวนนี้มีถึง 20 เรื่อง ที่เป็นระดับ Box Buster โดยนำคอนเทนต์ออกไปฉายในประเทศต่างๆ กว่า 173 ประเทศ มีผู้ชมกว่า 1,300 ล้านคน ซึ่งตลาดสำคัญจะอยู่ในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะประเทศไทยที่ให้ความนิยมและชื่นชอบคอนเทนท์ของอินเดียเป็นอย่างมาก
คุณฮาริส ได้ถอดรหัสความสำเร็จของซีรีย์อินเดีย ที่คนไทยชื่นชอบนั้น เป็นเพราะ 5 เหตุผลสำคัญ คือ
1.การนำเสนอเรื่องราวของเทพอินเดีย ซึ่งคนไทยรู้จักดีและให้ความนับถือ และประวัติของเทพบางองค์คนไทยได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านระบบการศึกษาไทยด้วย ทำให้เข้าถึงเนื้อหาของหนังได้ง่าย
2.การนำเสนอเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์ ราชวงศ์ ระบบพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนไทยมีความรู้และความเข้าใจในระบอบกษัตริย์เป็นอย่างดี จึงมีความรู้สึกร่วมกับเรื่องราวได้ง่าย
3.การนำเสนอเรื่องราวด้านประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิต ซึ่งคนไทยและคนอินเดีย มีวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้เข้าใจการนำเสนอเรื่องราวของคอนเทนท์อินเดีย และรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับความรักและครอบครัว มักจะเล่าเรื่องนับตั้งแต่พระเอกและนางเอกแต่งงานกันแล้ว และต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการครองคู่ไปด้วยกัน ต่างจากคอนเทนท์ไทยซึ่งพระเอกนางเองกว่าจะได้แต่งงานกัน ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ มากมายจนจบเรื่อง ซึ่งคอนเทนต์อินเดียจะตรงกับชีวิตจริงของคนไทยมากกว่า เพราะกลุ่มผู้ชมหลักจะเป็นผู้หญิงสัดส่วน 70% อายุ 20-45 ปี ส่วนใหญ่จะมีครอบครัวแล้ว และต้องเผชิญกับปัญหาการใช้ชีวิตคู่เช่นเดียวกับเรื่องราวในละครนั่นเอง
4.การปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอคอนเทนท์อินเดีย ที่ลดโทนเรื่องดนตรี การเต้นรำ แต่นำเสนอเนื้อหาที่เข้มข้น น่าตื่นเต้น เข้าใจง่าย ใช้วิธีการเล่าเรื่องสมัยใหม่ที่กระชับมากขึ้น ลดขนาดความยาวของหนังให้สั้นลง เช่น หนังอินเดียที่เคยมีขนาดความยาวกว่า 3 ชั่วโมง ลดเหลือ 2 ชั่วโมง ขณะที่คอนเทนต์ประเภทซีรีย์ที่นำมาฉายในประเทศไทย ก็ปรับเนื้อหาให้สั้นกระชับ และไม่ยาวนานเหมือนกับที่ออกอากาศในประเทศอินเดีย
5.การลงทุนด้าน Production หากเป็นคอนเทนต์อภินิหาร จะเน้นเทคนิคต่างๆ เหมือน Hollywood แต่หากเป็นแนวโมเดิร์น ดราม่า จะเน้นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบฉาก สถานที่ ให้มีความสวยงามและตระการตา ขณะเดียวกันเมื่อนำมาฉายในประเทศไทย มีการแปลชื่อหนังให้เข้าใจง่าย มีคุณภาพการพากษ์เสียง การใส่ดนตรีประกอบ รวมถึงการทำตลาดต่างๆ เข้าเสริมด้วย
ปีนี้ Zee หนัง จะบุกตลาดเมืองไทยมากขึ้น จากการเห็นศักยภาพและการเติบโตของจำนวนผู้ชม ที่ชื่นชอบซีรีย์และหนังของอินเดีย โดยนอกจากจะมีการนำเอาคอนเทนท์อินเดีย ออกอากาศผ่านระบบทีวีดาวเทียม อาทิ กล่อง PSI ช่อง 100 Big 4 ช่อง GMMz ช่อง 100 เป็นต้น ที่สามารถเข้าถึงผู้ชมคนไทยได้กว่า 22 ล้านคนแล้ว ปีนี้ได้เตรียมขยายแพลตฟอร์มเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนดูในประเทศไทยให้มากขึ้น พร้อมกับการร่วมมือบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดตัว Application “JNK Zee Magic” ให้ดูคอนเทนต์อินเดียผ่านช่องทาง OTT (Over-the-Top) ประมาณตุลาคมนี้ เพื่อขยายฐานผู้ชมรุ่นใหม่ พร้อมกับการทำตลาดและสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ Zee หนังเพิ่มมากขึ้น และนำเอาคอนเทนต์ใหม่เข้ามาทำตลาออย่างต่อเนื่องด้วย